Saturday, December 29, 2007

บ่าของอัศวิน

2 แขนเธอโอบรอบคอฉันไว้แน่น
น้ำตาค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย เสียงสะอื้นเหลือเพียงลมหายใจกระตุกเงียบๆ

เมื่อทุกสิ่งสงบลง คางของเธอจึงเกยอยู่บนบ่าของฉันอย่างผ่อนคลาย
ไม่มีแล้วความดิ้นรนไขว่คว้าหาผู้พิทักษ์หลังความเจ็บปวด
บัดนี้เจ้าหญิงปลอดภัยแล้ว
...

จริง ฉันคือผู้อัศวินของเธอ ไม่สามารถเป็นได้มากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้
บางครั้งหากต้องการปกป้องความฝัน ความหวัง ความสนุกสดใส
ฉันจะมอบบ่าคู่นี้ไว้ให้คางเธอเข้ามาเกยกอง

บางครั้งหากต้องการแสดงความยินดี เธอยังคงโผมุ่งตรงมายังบ่าของฉันด้วยรอยยิ้ม
...

เป็นระยะเวลานานกว่าเธอจะวางใจนำคางของเธอมาเกยอยู่บนบ่าของฉัน
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอมอบหัวใจให้คนไม่ยิ่งใหญ่เช่นฉันอาจเป็นเพียงแค่ความพร้อมเท่านั้น

ความพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์
ความใกล้ชิดของหัวใจกระเถิบเข้ามาเมื่อวันที่เธอถูกทำร้าย
แน่นอนว่าครั้งแรกที่คางมาเกยไหล่ไม่ได้สร้างภาพจำที่น่าประทับใจให้เราทั้ง 2 ฝ่าย
เพราะเรื่องราวของเราเริ่มขึ้นจากความเจ็บปวด
แต่หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดนั่น ฉันไม่แน่ใจว่าเมื่อใดฉันจะสามารถสร้างความอุ่นใจให้เธอได้
...

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่นานวัน
ฉันพร้อมเสมอที่จะเป็นอัศวินมอบไหล่ให้เธอนำคางมาเกย

Sunday, December 09, 2007

Hero

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว

เราคงไม่ต้องแนะนำต้นข้าวให้ทุกคนรู้จักอีกต่อไป

...

นอกจากจะพูดไม่หยุด

ยังมีเพลงที่โรงเรียนอาจจะสอนมาให้ฟังอีกด้วย

...

ไม่อยากอธิบาย

อยากให้ชมกันเอาเอง

...

Saturday, December 08, 2007

หลานชาย

ไม่มีอะไรนอกจากอยากอวดหลานให้ได้ดูกัน

ต้นข้าวเป็นเด็กชายอายุ 3 ขวบ กำลังจะ 4 ขวบ

หลานคนนี้มีลีลามากเป็นพิเศษ

เนื่องจากเราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักจึงต้องใช้เวลานานกว่าจะคุ้นเคยกัน

ถึงจะใช้เวลานาน แต่ผลออกมาคุ้มค่ากว่าที่คาดคิด

เพราะข้าวเริ่มร้องเพลงให้ฟัง

เต้นให้ดู

และพูดไม่หยุด

ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครหยุดข้าวได้

แต่ทุกคนมีความสนุกสนานกันอย่างเต็มที่

เลยได้ถ่ายมาโชว์ให้ดูอย่างนี้

หลานดีมีไว้อวดจริงไหม

...

แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอวดแล้วพ่อกับแม่เขาจะโอเคไหม

...

Friday, December 07, 2007

ยิ่งแข่งยิ่งแพ้


เหมือนเด็กๆ ไม่มีขีดจำกัดของพลัง

เอามาใช้เท่าไรไม่เห็นหมด

ทั้งร้อง เต้น กระโดด วิ่ง ล้มลุกคลุกคลาน
หลายต่อหลายตลบ
ยังวิ่งในสนามเด็กเล่นได้ต่อ
ส่วนเรารึ
แค่จับเด็กแต่ละคนไม่ให้ทะเลาะกัน กัดกัน ตีกัน
ขาแทบพันกันเป็นปม
วันนี้เลยหมดแรงเอาดื้อๆ
ถ้ามีคนหาคู่ต่อสู้มาให้เลือกสักคน
แล้วหนึ่งในนั้นเป็นเด็ก 3-4 ขวบละก็
ต้องขอบายทันที
อย่านี้เรียกว่ายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่ง
ใครจะไปกล้วแหยม
ยิ่งแข่งยิ่งแพ้นี่นา

Monday, December 03, 2007

เขย่ง ก้าว กระโดด



จำความรู้สึกแรกที่หัดเขย่งไม่ได้แล้ว
รู้แต่ว่าเวลาที่เราเขย่งจะรู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้น ตอนเด็กๆ เลยชอบเดินเขย่งปลายเท้าเป็นพิเศษ
(เพื่อนๆ คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร)
แต่จนบัดนี้นิสัยชอบเขย่งค่อยๆ หายไปแล้ว
มีบ้างเป็นบางครั้งที่ต้องเขย่งหยิบของ
คิดๆ ไปก็บ่อยทีเดียว
เพราะของที่อยู่สูง เราจะไปเอื้อมถึงได้ยังไง

เวลาที่เดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองครั้งแรกเป็นยังไง จำไม่ได้แล้ว
แต่รู้ว่าก้าวแรกของเด็กแต่ละคนสำคัญมาก
การก้าวแล้วล้ม หากลุกได้ด้วยตัวเองจะทำให้เข้มแข็ง
(ตอนนั้นเราทำอีท่าไหนหว่า)
ตอนนี้ได้แต่เดินก้าวไวๆ ไล่จับเด็กๆ ให้ทันก็เหนื่อยแล้ว
ให้นึกย้อนไปตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก
คิดว่าคงก้าวไวน่าดูเหมือนกัน

กระโดดครั้งแรกๆ คงรู้สึกสนุกไม่น้อย
แต่แน่นอนว่าจำอะไรไม่ได้แล้ว
ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าที่เด็กอายุน้อยกว่า 4 ขวบ ความจำจะสั้น
มักจะจำเรื่องราวอะไรช่วงนั้นไม่ได้ตอนที่เราโตแล้ว
อาจจะจริงอย่างว่า เพราะตอนนี้เห็นเด็กๆ กระโดดกันอย่างสนุกสนาน แต่เรากลับจำความรู้สึกนี้ไม่ได้เลย
ตอนนี้ที่กระโดดได้อย่างไม่เคอะเขินเพราะต้องกระโดดไปพร้อมพวกเขา
หากเป็นช่วงเวลาปกติคงกระโดดสนุกสนานออกนอกหน้าไม่ได้อย่างนี้
เดี๋ยวคนหาว่าบ้า

ความสนุกของการเขย่ง ก้าว กระโดด
จำกัดไว้ถึงอายุเท่าไรกัน
...
ใครตอบได้ช่วยบอกที

Sunday, November 04, 2007

แผนที่อยากวาง

เคยตั้งใจว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดบ้างไหม

เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำให้ได้ภายใน 1 ปีเลย
จนกระทั่งพี่เชน ช่างภาพที่ทำงานเก่าเคยบอกให้ฟังถึงแผนประจำปีของพี่เขา
และบอกว่าเราควรจะมีบ้าง

ตอนนั้นไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากไปกว่า คิดอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน
สำหรับตัวเองจะได้ทำหรือไม่นั้น ไม่เคยคิด

ตอนนี้เลยลองตั้งจุดหมายที่ตัวเอาต้องไปให้ถึงอย่างหนึ่ง

แต่ไม่บอกหรอกว่าคืออะไร เดี๋ยวจะไม่สนุก

เหอะๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าเป็นความลับหรือเปล่า
เพียงแต่อาจจะเขินๆ ถ้าเล่าให้คนอื่นฟัง

เอาเป็นว่าถ้าสำเร็จเมื่อไรอาจจะเอามาเล่าสู่กันฟัง

ถ้าใครที่ยังไม่เคยมีแผนการณ์ใน 1 ปี ต้องลองดูบ้างนะคะ
มันจะมีพลังให้เราทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ
ซึ่งมันเป็นพลังที่ดีนะคะ

หากเราต้องการหาแรงผลักดันอะไรสักอย่าง
เราควรจะตั้งเป้าหมายเพื่อให้ไปถึงจุดหมายนั้น
ส่วนระหว่างทางก่อนที่เราจะไปถึงนั้น
จะกลายเป็นความทรงจำที่ดีอย่างแน่นอน

Saturday, November 03, 2007

ท่องเที่ยว


ไม่ได้ออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวมานาน
ยิ่งเที่ยวกับเพื่อนสมัยเรียนแล้วยิ่งห่างหายค่ะ

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องรอให้ว่างพร้อมๆ กัน
เที่ยวด้วยกันจะได้สนุกสนาน
สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน

เที่ยวนี้ไปจันทบุรีค่ะ ไม่เคยไปจันทบุรีมาก่อน
เท่าที่ไปไกลแค่ระยอง
ขึ้นเหนือตอนเด็กจำความไม่ได้ ตอนโตก็ไม่ถึงไหน
ลงใต้แค่หัวหิน

ที่ผ่านมาจึงโหยหาการเที่ยวอย่างมาก
ความจริงแล้วไม่ได้อยากเที่ยวเล่นสนุกสนานหรอกค่ะ
อยากได้บรรยากาศสดชื่น
อยากได้ยินเสียงธรรมชาติ

ตอนไปถึงไม่ทำอะไรทั้งนั้น
นอนฟังเสียงคลื่นอย่างเดียวก็ยิ้มแล้ว

นึกถึงสมัยเรียนค่ะ
ไม่ต้องไปเที่ยวไหน
แค่ได้ไปนั่งอยู่หลังโรงละคร นอนตรงลาน มองแสงลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้
แค่นี้ก็ยิ้มแล้ว
เวลาใครจัดทริปไปต่างจังหวัดไม่ได้อยากไปกับเขา
ไม่ชอบที่คนเยอะๆ

ช่วงปิดเทอมที่คนกลับบ้านแล้วเราต้องอยู่เรียนต่อ
เป็นช่วงที่มีความสุขมาก
เพราะจะไม่มีเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งเลย
ได้เห็นนก เห็นกระรอก
ถ้าหน้าหนาวจะมีนกฮูกโผล่มาให้ตกใจด้วย

ยิ่งช่วงปีใหม่ที่คนกลับบ้านกันเยอะๆ แล้วเราอยู่ทำละครกัน
สนุกมาก
ไปซื้อเนื้อหมูที่ตลาดมาย่างกินกันหลังโรงละคร
เหมือนได้พักตากอากาศ ย่างบาร์บีคิวกัน

มันเป็นช่วงที่เราเดินทางในใจ
หลายสิ่งทางความรู้สึกเกิดขึ้นมากมาย

พอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ความรู้สึกอย่างนี้มันหาได้ยากค่ะ
วันๆ ต้องเจอผู้คนมากมาย
แค่ได้เห็นคนก็เหนื่อยแล้ว
อย่างนี้เราถึงพยายามหาทางออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนที่อื่น

กลับมาคราวนี้ได้แรงกลับมาเยอะด้วย
พร้อมที่จะเจอกับเด็กๆ ตอนเปิดเทอม

รอช่วงปีใหม่ที่หยุดยาว อาจจะได้ท่องเที่ยวอีกครั้ง

คราวนี้จะท่องเที่ยวที่จังหวัดอื่น หรือท่องเที่ยวในใจ
ต้องรอดู

Tuesday, October 02, 2007

กระต่ายบิน

กระโดดด้วยขาทั้ง 2 ข้าง
เคลื่อนไปข้างหน้าทีละนิด
ทีละหน่อย

แหวนมองท้องฟ้ากว้างไกล
แม้กระโดดเท่าไร
ไม่เคยถึง

กระโดดไปเรื่อยๆ
ขึ้นไปยังภูเขาสูง

มุ่งตรงไปสู่ก้อนเมฆขาวปุย

กระโดดไปยังยอดเขา
กระโดดสูงเท่าไร
ไม่สามารถเอื้อมถึงปุยเมฆ

หูกระต่ายสัมผัสลมบนยอดเขา
หัวใจปลิวไปไกล
ปีกนกงอกขึ้นมาใหม่
บนหลังกระต่ายใจลอย

พาร่างโบยบินไปสูงสุดฟ้า
เปิดตาสัมผัสพื้นเบื้องล่าง
เปิดใจสัมผัสอากาศเบาบางเบื้องบน

Friday, September 28, 2007

จักรยานสีขาว


ตั้งใจว่าอยากได้จักรยานมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ออกไปหาซื้อเสียที


จนเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งซื้อจักรยานใหม่ค่ะ
เป็นจักรยานญี่ปุ่นสีขาว

ขี่ไปทำงานทุกเช้า
ตอนเย็นได้ลองไปขี่เล่นรอบทะเลสาบมาแล้ว

เมื่อก่อนตอนอยู่มหาวิทยาลัยเคยขี่จักรยานเหมือนกัน
แต่ได้ใช้ช่วงสั้นๆ ตอนปี 1
แถมยังเป็นจักรยานของเพื่อนอีกต่างหาก

จำได้ว่าตอนที่ขี่จักรยานซ้อนกันไปกินข้าว ไปเรียน เที่ยวเล่น สนุกสนานดี
ขี่จักรยานไปเป็นแถวกับเพื่อน 3-4 คัน
ถ้าเอามาถ่ายมิวสิกคงเป็นภาพประกอบเพลงสำหรับเพื่อนแบบตลกๆ เพลงหนึ่ง

พอมาถึงตอนนี้ไม่ได้ขี่กับเพื่อนๆ แต่ขี่คนเดียว
ความรู้สึกต่างจากตอนที่ขี่เล่นในมหาวิทยาลัยมาก
เพราะตอนนี้ใช้ในการเดินทางไปทำงาน

ขาไปมุ่งหน้าให้ถึงโรงเรียนตรงเวลา
ขากลับต้องจอดให้เด็กๆ สั่นกระดิ่งก่อนออกจากโรงเรียน

เป็นอย่างนี้ทุกวัน

เพียงแต่สิ่งที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเป็นลายที่เพ้นท์จักรยานทีละลาย
ค่อยๆ คิด
ค่อยๆ หาแบบ
ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ
จนกว่าจักรยานสีขาวคันนี้จะกลายเป็นจักรยานสีขาวลายสดใสคันหนึ่ง
ที่ปั่นไปเรื่อยๆ ด้วยแรงของเราเอง

Saturday, July 28, 2007

รอยยิ้ม


เวลาที่ห่างไกลกับเด็กๆ ที่รัก

เราคิดคำนึงถึงสิ่งใดในตัวเขา


ความดีที่อยู่ภายใน

ความชื่นใจที่เขาเคยมอบให้

ขนมที่เขาชอบ

คำพูดที่ติดปาก


หรือ

คิดถึงเพียงรอยยิ้มที่ประทับอยู่บนใบหน้าของเขาเหล่านั้น


สำหรับฉัน


แม้ไม่ได้เจอเด็กๆ แค่ไม่กี่อาทิตย์

ก็คิดถึงพวกเขาจับใจ


ระลึกถึงทุกสิ่งที่พอนึกได้

นึกว่าป่านนี้จะสูงขึ้นแค่ไหนแล้ว

อยู่ที่บ้านจะคิดถึงเราบ้างไหมหนอ


นึกถึงสิ่งที่ตอบได้ยากทั้งนั้น


แต่พอได้แวะไปเจอที่โรงเรียน

พวกเขาตะโกนเรียกตามประสาคนรู้จักกัน

วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง


เราถามว่า "วันนี้เป็นเด็กดีไหม"


แน่นอนต้องตอบว่า "ครับ" กันเป็นแถว


ส่วนเรื่องจริง

....

จะให้เป็นเด็กดีทั้งวันคงเป็นไปไม่ได้


ตอนนั้นเลยรู้สึกได้จริงๆ ว่าเขาเองก็ดีใจที่ได้เจอเรา

รู้ได้จากน้ำเสียง


จากรอยยิ้ม
ยิ้มกว้าง

จริงใจ

และ

ใสซื่อ


ดีใจจริงๆ ที่ได้รับรอยยิ้มเหล่านั้นมาไว้ในความทรงจำ

ประสานเสียง



ตอนนี้มีเวลาดูการ์ตูนมากขึ้น


จะว่าไปเรามักมีเวลาให้กับการอ่านการ์ตูนอย่างสม่ำเสมอ


เพียงแต่ตอนนี้กำลังคลั่งไคล้ เคโรโระ ขบวนการ อ๊บ อ๊บ ป่วนโลก อย่างมาก

ไม่เท่านั้น ยังชวนพี่ชายมาบ้าด้วยกันอีกต่างหาก


ไม่แค่ตัวการ์ตูนที่น่ารักน่าชังเท่านั้น


เนื้อเรื่องยังสนุกตรงใจอีกต่างหาก
มุขแต่ละมุขเพี้ยนเข้ากับคนอย่างเราๆ จนนึกไม่ถึงว่าจะมีการ์ตูนตลกได้ใจอย่างนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นเสาร์อาทิตย์เลยต้องตื่นก่อน 9 โมงเช้ามาดูช่องทีไอทีวี
เหมือนเด็กๆ นั่งรอดูการ์ตูนเลย
ตอนนี้พี่บอลสั่งซื้อดีวีดีมาแล้ว
อีกไม่นานคงได้ดูเต็มอิ่ม ต่อเนื่อง
ก็ตอนเช้ามันมีแค่ 30 นาทีนี่นา
ยังไม่ทันหายอยากก็จบไป 2 ตอนแล้ว
ถ้าใครที่ชอบเคโรโระเหมือนกันก็เชิญมาประสานเสียงกันหน่อยนะ
เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร
.........

Monday, July 16, 2007

กลางวัน กลางคืน

กลางวัน กลางคืน
ต่างกันแค่คำเรียก

หรือต่างกันที่ความสว่าง ความมืด

ต่างกันที่กลางวันมีตะวันฉาย
กลางคืนมีดวงจันทร์ทอประกาย
...

ต่างกันเพราะความรู้สึก

กลางวันแกร่งกล้า แผดเผา
กลางคืนเยือกเย็น อ้างว้าง

หรือ

ตะวันมอบชีวิต
ดวงจันทร์มอบจิตวิญญาณ

สุดท้าย


ความต่างอาจคือสมดุล

ที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์
ทั้งมืด
ทั้งสว่าง
ทั้งอบอุ่น
ทั้งอ้างว้าง
ทั้งชีวิต
ทั้งจิตวิญญาณ
ทั้งพบพาน
และลาจาก
ถูกนำพามาด้วยกลางวัน กลางคืน

Thursday, July 12, 2007

ย่างก้าวที่ไร้ตัวตน

เงยหน้ามองทางเดินที่ทอดยาว
2 เท้าก้าวไปข้างหน้าพร้อมจุดมุ่งหมายในอนาคต
หากเมื่อไรลืมเลือน 2 ข้างทาง
ไม่แวะพักตามร่มไม้
ไม่ได้สูดดมกลิ่นดิน กลิ่นหญ้า
ไม่หยุดทักทายผู้คนที่เดินผ่าน
หากขาดเรื่องราวตามรายทาง
การก้าวเดินครั้งนี้คงไม่มีความหมาย
2 ข้างทางที่เดินผ่านมีเรื่องราวของสิ่งที่ฝังรากอยู่ที่นั่น
ผู้คนที่อยู่อาศัย
ตึกที่หยั่งเสาเข็มลึกลงไปในพื้นดิน
สถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเคารพ ชื่นชม บุคคล บรรจุเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ยุคสมัยต่างถูกบันทึกไว้ ณ จุดที่ก้าวผ่าน
ต้นไม้
ใบหญ้า
ท้องฟ้า
ภูเขา
ต้นไม้
สิ่งมีชีวิตที่สถิตย์อยู่
หายใจไปพร้อมๆ กับเรา
ครอบครัว
เพื่อนฝูง
คนรัก
ชีวิตของพวกเขาต่างมีจุดหมาย
ไม่ว่าเหมือนหรือต่างไป
เราต่างหายใจไปพร้อมๆ กัน
ทุกๆ ย่างก้าวบันทึกช่วงเวลาของชีวิตที่ใช้ลมหายใจร่วมกัน
วันที่ลมหายใจหมดลง อาจเป็นวันสิ้นสุดของการเดินทาง
ไร้ก้าวต่อไปของใครคนหนึ่ง
แต่อีกหลายสิ่งยังคงก้าวต่อไป
มีลมหายใจต่อไป
ดั่งเราไร้ตัวตน
แล้วความหมายของการเดินทางเล่า
การก้าวเดินต่อไปมีประโยชน์อันใด
สิ่งที่เคยบันทึกอยู่ในความทรงจำไร้ค่าหรือ
...
ความสุข
ความเศร้า
ความรัก
...
หรือความรู้สึกเหล่านี้ไร้ตัวตนเช่นเรา
....
คำตอบนั้นกระจ่างอยู่ในใจเราเอง

Monday, July 09, 2007

ฟากฟ้า



เมฆฝนลอยหายไปเบื้องหน้าแล้ว

เหลือเพียงเรายืนเท้าเปลือยเปล่าบนหาดทรายกว้าง



ฟ้าแม้ยังดูหนักหน่วงด้วยปุยเมฆ

แต่ยังมีลำแสงส่องผ่านให้เบาใจ


จริงอยู่แสงแดดคล้อยผ่านตามกาลเวลา


ไร้เรี่ยวแรงแผดเผาสิ่งใด

แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แสงแดดมอบให้

พลังใจที่อบอุ่นอ่อนหวาน ช่วยปลอบโยนกายที่เหนื่อยล้า


หากวันใดที่ฟ้าเปิด
สว่างสดใส
ปล่อยโอกาสให้แดดได้ส่องโดยสายตาไม่อาจสู้
เราจึงได้แต่ยอมแพ้
หาร่มเงาเพื่อหลีกทางให้แสงส่องแต่โดยสะดวก

หลังจากนี้เราคงคอยมองหาดวงดาวที่เข้ามาส่องประกายให้ฟากฟ้า
รอคอยรอยยิ้มในหัวใจของคนที่อาจเฝ้ามองดาวดวงเดียวกันกับเรา
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน
เราอาจอยากอยู่จนถึงรุ่งสาง
หาที่กำบังจากน้ำค้าง
หวังจะพบแสงแรกของวันบ้าง
ฟากฟ้าแบบไหนจึงเป็นที่ปรารถนา
อาจจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของหัวใจ
ที่จะกำหนดทิศทางของความรู้สึก
กำหนดภาพฉากที่ต้องการพบเจอ

สิ่งที่ทำได้

อาจเพียงต้องหลบหลีกจากความเคยชินเท่านั้น

จึงจะได้เห็นฟากฟ้าอย่างที่มันเป็น

Monday, July 02, 2007

No more monkey jumping on the bed

เพลงที่ใช้สอนเด็กอนุบาลจะเป็นเพลงน่ารักๆ ท่าเต้นน่ารักตามเนื้อเพลงเยอะ แต่ช่วงนี้เพลงที่มาแรงเป็นอันดับหนึ่งคือ No more monkey jumping on the bed
มีเนื้อร้องว่า 5 little monkeys jumping on the bed. 1 fell down and bumped his head. Mama called the doctor and the doctor said, “No more monkeys jumping on the bed.”

ระหว่างที่ร้องจะมีท่าประกอบไปด้วย ทุกคนชอบมากที่ในเนื้อเพลงมีการกระโดด พอถึงท่อนที่หมอบอกว่าห้ามลิงตัวไหนกระโดดบนเตียงอีกจะมีการเปลี่ยนเสียง เด็กทุกคนจะเปลี่ยนเสียงตามไปด้วย

ระหว่างที่ร้องจะวาดรูปให้ดูว่ามีลิงอยู่บนเตียง ค่อยๆ ตกเตียงไปทีละตัว ให้เขาหัดนับเลขพร้อมรู้ความหมายของเพลงไปด้วย ทำให้ไม่ว่าจะร้องเพลงนี้กี่ครั้งทุกคนจะให้วาดรูปไปด้วยตลอด
ช่วงหลังเริ่มคิดเปลี่ยนเนื้อเพลงให้เข้ากับพฤติกรรมของเด็กในห้องด้วย เพราะในห้องไม่มีเตียงให้ห้ามกระโดด แต่เด็กจะชอบยืนบนเก้าอี้หรือบนโต๊ะแล้วกระโดดลงมา เนื้อร้องจึงเปลี่ยนเป็น 5 little students jumping on the chair. 1 fell down and bumped his head. Ms.Tamera called the doctor and the doctor said, “No more students jumping on the chair.”

ไม่เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อร้องเท่านั้น เวลาวาดรูปยังมีเก้าอี้ 5 ตัว กับเด็ก 5 คนยืนอยู่บนเก้าอี้อีกด้วย รอบแรกถามก่อนว่าใครอยากกระโดดบนเก้าอี้บ้าง เด็กๆ ยกมือกันพรึบ มาร์คๆ เก๋าๆ ดีดี้ พิริยา ปอมด้วยนะ เอมด้วย อยากอยู่บนเก้าอี้กันใหญ่ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไง พอเริ่มร้องเพลงแล้วลบคนที่ตกเก้าอี้หัวโหม่งลงมาอยู่บนพื้นเด็กผู้หญิงเริ่มไม่สนุกแล้ว มาร์คกับเก๋ายังยืนงงๆ ที่ตัวเองลงไปอยู่ที่พื้นซะอย่างนั้น ร้องเพลงยังไม่ทันครบ 5 รอบ เด็กผู้หญิงก็บอกว่าไม่เอา อยากให้หนูตกลงมานะ หยุดได้แล้วไม่เอาแล้ว โวยวายจะไม่กระโดดลงมาหัวลงพื้นอย่างคนแรกๆ

ได้ผล หลังจากนั้นเด็กๆ ไม่ยืนบนเก้าอี้อีกเลย หรือถ้าหากมีใครเผลอยืนบนเก้าอี้เราแค่ร้องเพลงท่อนสุดท้ายว่า “No more students standing on the chair.” เท่านี้เขาก็จะลงมานั่งดีๆ ได้เอง ไม่ต้องคอยดุคอยว่าให้เหนื่อย