Tuesday, November 25, 2008

เที่ยวอัมพวา

ไปเที่ยวอัมพวาคราวนี้ไม่เงียบเหงา เพราะไปกับเพื่อนๆ ม.ปลายรวมกันได้ 11 คน


กิจกรรมส่วนมากจะนั่งล้อมวงกันช่วยคิดเลข ตั้งแต่ไปถึงจนเย็นย่ำเรือมารับไปล่องชมบรรยากาศ 2 ฝั่งคลองจึงได้แยกวง


เที่ยววัดริมคลอง แวะตลาดน้ำเดินเที่ยว ซื้อหาของกินในตลาด
กลับมาก็มารวมวงกันใหม่
ถือเป็นการแข่งขันนัดกระชับมิตร
เพราะมีบ้างที่เป็นมิตรร่วมลงหุ้นกัน มีบ้างที่แตกหักจากการขาดทุน
ท้ายที่สุดต้องแยกย้ายกันไปนอนกลิ้งเก็บแรงไว้เที่ยวต่อวันรุ่งขึ้น


ขากลับแวะเที่ยวอุทยาน ร.2

แล้วก็ได้รูปอย่างที่เห็น
สนุกสนานกับการถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนๆ แล้วก็รู้สึกติดใจ
อยากไปเที่ยวทริปใหม่กันอีกแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร
กว่ารวมตัวกันได้มันเหนื่อยจริงๆ
โดยเฉพาะเรานี่แหละ อยากจะไปเที่ยวซะเหลือเกิน
แต่จองวันไปเที่ยวยาก
ไว้ปีหน้าหวังว่าจะได้เที่ยวมากกว่านี้อีก

Thursday, July 03, 2008

การแสดงของแสงบนเวที

เขียนลงในนิตยสาร Happening นานพอสมควร
แต่เป็นชิ้นหนึ่งที่ตั้งใจเขียนเพราะเราชอบเรียนวิชาออกแบบไฟ

มันเป็นการออกแบบที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ มุมมอง เพื่อแสดงให้เห็นอารมณ์ของเรื่อง

และที่สำคัญได้ออกแบบไฟครั้งแรกในละครกำกับของตัวเองด้วย

ความทรงจำของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของบทความที่เขียนให้คนอื่นๆ อ่าน ดีใจจริงๆ


......................


การแสดงของแสงบนเวที

พระอาทิตย์กำลังตกดินฉายแสงสีส้มทั่วท้องฟ้า เด็กสาวผมยาวหน้าตาน่ารักกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง บนโต๊ะมีอุปกรณ์เขียนจดหมาย ถ้าให้เดาจากใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ เธอน่าจะกำลังเขียนถึงคนรักที่อยู่แสนไกล

พระอาทิตย์ตกแล้วท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม เป็นเวลาที่บุรุษไปรษณีย์ผู้เป็นสามีของเด็กสาวกลับบ้าน เขาเมากลับมาเหมือนทุกวันในมือถือป้ายเลขที่บ้านเข้ามาด้วย เขาล้วงหาจดหมายที่ส่งมาถึงเด็กสาว เดินมาวางไว้ให้บนโต๊ะ ส่วนป้ายเลขที่บ้านเขาหาที่วางที่จะให้เด็กสาวเห็นชัดเจนที่สุดก่อนจะเดินไปที่เตียงล้มตัวลงนอน

เด็กสาวจ่าหน้าซองถึงผู้รับเสร็จแล้วกำลังเขียนที่อยู่ของผู้ส่ง แต่เธอนึกบ้านเลขที่ตัวเองไม่ออก เอ่ยถามบุรุษไปรษณีย์ว่า “พี่บ้านเราเลขที่เท่าไรนะ”

...

คำบรรยายข้างต้นคือภาพที่ปรากฏในฉากแรกของละครเวทีเรื่อง บุรุษไปรษณีย์ผู้หลงลืมเลขที่บ้านของตน ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของคุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ในหนังสือ ชีวิตสำมะหาอันใด เรื่องนี้เป็นละครเวทีเรื่องแรกที่ฉันได้เขียนบทและกำกับการแสดงสมัยเรียนปี 4 เพื่อเป็นการสอบปฏิบัติวิชากำกับการแสดง

สิ่งที่กำลังเขียนถึงต่อไปนี้ไม่ได้เกี่ยวกับละครเรื่องนี้สักเท่าไรค่ะ เพียงแต่อยากยกขึ้นมาให้ผู้อ่านได้ลองนึกภาพตามสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีเท่านั้น

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้คนดูเห็นภาพคือ แสง ถ้าสังเกตการบรรยายภาพจะเห็นได้ว่าแสงค่อยๆ เผยให้เห็นบรรยากาศ ฉาก ตัวละคร ต่อจากนั้นยังทำหน้าที่เคียงข้างนักแสดงไปจนจบเรื่อง

ในการออกแบบแสงในละครเวทีนั้นต้องคำนึงถึงการมองเห็นเป็นหลักค่ะ การจัดแสงเป็นการเลียนแบบมาจากแสงธรรมชาติที่อาบอยู่บนตัวเราทุกวี่วัน เพียงแต่แสงบนเวทีนั้นต้องสอดคล้องกับฉาก เลือกพื้นที่ในการมองเห็นบนเวทีเพื่อให้ความสำคัญต่อสารที่จะส่งไปยังคนดูอย่างครบถ้วนถูกต้อง รวมถึงเพิ่มและลดแสงในการมองเห็นอย่างเป็นธรรมชาติไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไปจนคนดูต้องหันมาจับผิดกันแทนที่จะสนใจละคร ดังนั้นแสงจึงเป็นได้ทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของละครเวทีได้ หากไม่นำมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม
แสงที่ช่วยในการมองเห็นเป็นสื่อในการรับและส่งสารค่ะ ดังนั้นในบทละครจะมีการระบุรายละเอียดของแสงไว้ด้วยว่าแสงจะเผยภาพแบบไหนให้คนดูได้เห็นกัน จะละเอียดมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับคนเขียนบทละครเรื่องนั้นๆ สุดท้ายแล้วการออกแบบแสงต้องผ่านการตีความจากบทละครเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์

แสงมีหลายหน้าที่ หน้าที่แรกคือเพื่อการมองเห็นอย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว นอกจากนั้นแสงยังบ่งบอกสภาวะอารมณ์และเวลา ให้ความรู้สึกหรือบรรยากาศ รวมถึงให้ความรู้สึกถึงพื้นที่กว้าง หรือแคบได้อีกด้วย
ในย่อหน้าแรกเราจะเห็นว่าแสงสีส้มและแสงสีฟ้าช่วยบ่งบอกเวลาโดยไม่ต้องพึ่งบทสนทนาของตัวละคร แล้วแสงที่ไม่ใส่เจลสีจะทำหน้าที่ให้การมองเห็น ดังนั้นไม่เพียงนักแสดงที่ทำหน้าที่แสดงเท่านั้นแสงยังมีส่วนในการแสดงเช่นเดียวกัน

การออกแบบแสงมีความละเอียดอ่อน เพราะแสงเป็นเครื่องมือที่ส่งผลต่อการมองเห็นของคนดูโดยตรง นอกจากจะต้องคิดว่าต้องใช้ไฟกี่ดวง มุมของไฟ การกระจายตัวของแสงและความเข้มของแสงจะเป็นอย่างไร สีที่จะช่วยในการสื่อความหมายและอารมณ์ตามบทมีสีอะไรบ้างแล้ว ยังต้องคำนึงถึงพื้นที่ ฉาก ของประกอบฉาก ความสูงของนักแสดง เงาที่จะเกิดบนเวที และความเคลื่อนไหวของแสงที่จะใช้ในแต่ละช่วง
ถึงจะฟังดูยากแต่ไม่ยากเกินกว่าที่จะเรียนรู้นะคะ เพราะหากเราทำความเข้าใจกับธรรมชาติของแสง เราจะสามารถนำคุณสมบัติของมันมาใช้ในการออกแบบได้

ในชีวิตประจำวันเราคลุกคลีอยู่กับแสงแดดและแสงนานาชนิด ไฟในบ้านแต่ละประเภทให้แสงที่แตกต่างกันอย่างไร แสงสร้างเงาแบบไหนได้บ้าง ข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้นักออกแบบนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น สมัยนี้คนที่ชอบพกกล้องถ่ายรูปคงพอรู้ว่าแสงแบบไหนถึงจะทำให้รูปออกมาดูสวย
ยิ่งคนที่เรียนศิลปะจะรู้ว่าแสงเงาสำคัญต่อการวาดภาพและลงสีแค่ไหน นักออกแบบแสงต้องศึกษาธรรมชาติของแสงเช่นเดียวกับคนเรียนศิลปะค่ะ เพราะการวางตำแหน่งไฟแต่ละดวงสร้างความแตกต่างให้กับภาพบนเวทีเหมือนกับการลงเงาในภาพวาดที่ให้ผลทางความรู้สึกต่างกัน

ความคิดสร้างสรรค์ทำให้ความเป็นไปได้ในการจัดแสงบนเวทีนั้นมีมากมายเหลือเกินค่ะ สิ่งที่เล่ามาเป็นพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับแสงที่ใช้ในละครเวทีที่ยังไม่ลงลึกไปถึงอุปกรณ์ที่ให้ผลต่างกันในการใช้งาน
ปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยทำให้การออกแบบแสงมีความสมจริงและมีเทคนิคใหม่ๆ น่าสนใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้มีการเล่าเรื่องแบบใหม่ๆ อีกด้วย เพราะนอกจากจะมีการเลียนแบบแสงธรรมชาติแล้วยังมีการนำสไลด์ เลเซอร์ เครื่องฉาย เข้ามาเป็นสื่อผสมในการนำเสนอด้วย

แต่ถ้าหากถามว่าการออกแบบแสงเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยไหน คงต้องย้อนไปถึงสมัยที่มีการสร้างโรงละครเป็นครั้งแรก ในสมัยกรีก โรงละคร Dionysus ที่เอเธน เป็นโรงละครแบบเปิดโล่ง หันไปทางทิศตะวันออก การแสดงละครนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาแตกต่างกันในแต่ละวัน เพราะโรงละครในยุคแรกต้องอาศัยแสงธรรมชาติจึงคำนึงถึงช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบในการแสดง

ในศตวรรษต่อมาการออกแบบไฟในละครเวทีมีการใช้ทั้งแสงธรรมชาติและวัสดุที่มนุษย์สามารถทำขึ้นเอง เช่น เทียน น้ำมัน คบไฟ ตะเกียง ยุคที่มีการใช้ตะเกียง น้ำมันก๊าด ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นและมีจำนวนโรงละครมากมายเกิดไฟไหม้ แต่การออกแบบแสงนั้นค่อยๆ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

วิวัฒนาการการออกแบบแสงบนละครเวทีเดินไปพร้อมๆ กับการค้นพบสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เมื่อมีการค้นพบหลอดไฟ การออกแบบแสงยุคสมัยใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น การค้นพบนี้นำไปสู่การพัฒนาไฟขนาดเล็กที่สามารถนำไปติดตั้งตามตำแหน่งต่างๆ บนเวที

คงพอวาดภาพออกว่าการออกแบบแสงบนเวทีพัฒนาต่อเนื่องมาอย่างไรนะคะ ความตื่นเต้นที่มีต่อการออกแบบแสงบนเวทีดำเนินไปพร้อมกับการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมไฟ หลักเบื้องต้นในการออกแบบแสงบนเวทีหลายอย่างมีส่วนในการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ ขึ้น จนกระทั่งการออกแบบแสงไม่ได้หยุดอยู่แค่วงการละครเวทีเท่านั้น มันก่อเป็นความรู้สมัยใหม่ของการออกแบบแสงภาพถ่าย หนัง ละครทีวี และการแสดงคอนเสิร์ตในปัจจุบัน

เพียงแต่การทำงานออกแบบแสงในภาพถ่าย หนัง และละครทีวี จะแตกต่างจากการออกแบบแสงบนเวทีเพราะต้องทำงานควบคู่ไปกับการทำงานของตากล้องที่ทำหน้าที่แทนสายตาคนดูอีกที

มีอีกหลายเรื่องราวเกี่ยวกับแสงค่ะ เพราะแสงสามารถเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ทำให้คนดูตีความและวิเคราะห์อารมณ์และสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวละครได้เหมือนกัน แต่สัญลักษณ์เหล่านี้ไม่ได้มีแค่บนเวทีหรือในหนังที่เราดูเท่านั้นนะคะ มันใกล้ตัวเรามากค่ะ มากเสียจนบางครั้งไม่ได้สังเกต ลองมองแสงที่รายล้อมอยู่รอบตัวเราสิคะ แล้วจะพบว่าธรรมชาติสร้างบรรยากาศในชีวิตให้เราไม่ซ้ำทุกวันเหมือนกัน

...

ท้องฟ้าเป็นสีแดงอมส้ม เผยให้เห็นตู้ไปรษณีย์สีแดงที่ตั้งอยู่ ริ้วรอยบนพื้นผิวบ่งบอกว่ามันยืนอยู่ตรงนี้เนิ่นนานแล้ว หญิงตาบอดเจ้าของดวงตาเศร้าสร้อยค่อยๆ เดินมาส่งจดหมายเหมือนทุกวัน เธอบรรจงหย่อนจดหมายส่งไปในตู้ไปรษณีย์ ไม่มีคำพูดสักคำ เธอมองตู้ไปรษณีย์อีกครั้งก่อนเดินจากไป

...

หน้ากาก


เด็กๆ จำไม่ได้เหมือนกันว่าเคยใส่หน้ากากตัวอะไรบ้าง

กระต่าย

แมว

ลิง

สิงโต

หรือ

ตัวการ์ตูนอื่นๆ

แต่เวลาใส่เราจะสามารถสวมบทบาทของตัวนั้นๆ ได้อย่างสนุกสนาน

สนุกเพราะเรารู้ว่าเรากำลังใส่หน้าของอะไรอยู่

กระต่ายจะกระโดดโลดเต้นใช่ไหม

แมวร้องเหมียวๆ

ลิงเกานู้นเกานี่

สิงโตคำรามน่าเกรงขาม แม้ว่าเราจะตัวเล็กเท่าแมวเหมียว

สนุกใช่ไหม

วันเวลาเหล่านั้นผ่านไปไม่รู้นานเท่าใด

เราไม่สามารถเอาหน้ากากใดมาใส่ให้ดูตลกได้อีก

ไม่รู้กลัวอะไร


รู้ตัวอีกทีเราไม่หยิบมันมาใส่เล่นอีกแล้ว

ไม่รู้กลัวอะไร

หรือว่าเพราะเรามีหน้ากากอื่นมาสวมใส่

หน้ากากซึ่งไม่ต้องหาหน้าตาของตัวอะไรมาวาดไว้

เพียงแค่ใจของเราเท่านั้นที่สร้างมันขึ้นมาปกปิดใบหน้าของตัวเอง

หลบซ่อนความรู้สึกของเราจากสายตาผู้คน

ปกป้องเราจากความเป็นจริงที่น่าอัปยศซึ่งเราอาจคิดไปเองว่ามันเป็นเช่นนั้น

หรือ

ปกป้องเราจากความน่าอายที่ผู้คนสามารถมองเห็นจากการกระทำที่มาจากตัวตนของเรา
แม้แต่เวลานอนเรายังรู้สึกต้องแบกรับความตึงเครียดของหน้ากากที่กดทับอยู่


น่าเศร้าเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าหน้ากากไหนที่น่าเศร้ากว่ากัน
ระหว่างหน้ากากที่เราไม่สามารถหยิบมาใส่เล่น
กับ
หน้ากากที่เราห่อหุ้มใบหน้าของตัวเราตลอดเวลา
เมื่อไรที่เราจะสามารถถอดมันออกเพื่อเปิดเผยหน้าที่แท้จริงของตัวเองได้
เมื่อไรที่เราจะสามารถปลดปล่อยตัวเองจากหน้ากากที่หนาจนหนักเกินกว่าจะแบกรับได้

Tuesday, June 03, 2008

สีสันของน้ำ



เมื่อก่อนแม่ไม่เคยบังคับให้ดื่มแต่น้ำเปล่าหรอกนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอโตมาแล้วเกิดชอบดื่มแต่น้ำเปล่าขึ้นมา

ทั้งๆ ที่น้ำอัดลมหลากสีน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ

ยิ่งน้ำแข็งน้ำเย็นก็ไม่แตะ

ประหลาดคนจริงๆ

จนกระทั่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเกิดปวดท้อง

พี่ป๊อปเดินไปหยิบยาในตู้เย็นมาให้ดื่ม

เป็นน้ำสีแดงสดใสน่าชิม

มันคือยาดองนั่นเอง

โอ้ย

ประทับใจ

แรกๆ ไม่อร่อยนะ จนเริ่มมีรสหวานติดที่ริมฝีปาก

เริ่มติดใจขึ้นมาทันที

น้ำสีๆ นี่อร่อยเหมือนกันแฮะ

Friday, May 16, 2008

Well, its time to choose

My life arrives at the cross road again.

It's never easy to me.
I have to make a choice that may lead my life to the different way.

I'm going to change my job.
Change the way I live my life.
Well, I'm try to answer the question of my mind.
What I want to do.
What I want to be.
Now, I think I choose the right way.
Nothing to lose



(to someone that asked me, have I ever written in english? Actually, I wrote in english too. If you read at the begining of my blog, you will see. Hope you enjoy)

Tuesday, April 08, 2008

อัมพวา


เดินไปยิ้มไป

นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ปล่อยให้ 2 ขาพาตัวเอง
ไปท่องเที่ยวไกลห่างจากตัวเมือง
เยี่ยมเยียนตลาด ร้านค้า ผู้คนมากหน้า หลายตา
อัมพวามีทั้งเรือ รถจักรยาน สะพาน บ้านไม้เก่าๆ
ส่วนเรานำพาความเหนื่อยล้ามาทิ้งไว้ที่นี่
ฝากให้ลอยไปกับสายน้ำ
ประทับรอยเท้าที่เปลือยเปล่าไว้บนพื้น
เก็บฝุ่นกลับบ้าน
ส่วนหัวใจ ชุ่มชื่น รื่นรมย์ยิ่งขึ้น
มีชีวิตชีวากับบรรดาของที่ระลึกที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ขนมอร่อยๆ
ปลาทูสดๆ ทอดราดน้ำปลา
คงไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหนไกล
มีโอกาสอีกเมื่อไรจะกลับมาอัมพวาอีกแน่นอน

ดีใจจริงๆ



แม้ว่าเรื่องที่เพิ่งเขียนก่อนหน้านี้
จะมาจากการตั้งโจทย์ร่วมกันของพี่วิภว์

แต่ดีใจที่เรื่องราวในความคิดนั้น
ยังคงดำรงอยู่จริง

...

เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้ไปดูคอนเสิร์ต
Bangkok Soul Much กับเพื่อนๆ โดยบังเอิญ

ความตั้งใจในตอนแรกอยากจะไปนั่งกินข้าวกันเฉยๆ
เพราะเพื่อนอีกคนนึงเพิ่งกลับมาจากอเมริกา

จนไปถึงแล้วรู้ว่าร้านปิดถึงเปลี่ยนแผนกันไปดูคอนเสิร์ตซะอย่างนั้น
กว่าคนจะมากันครบลงตัว กว่าจะได้เข้าไปดูคอนเสิร์ตกันจริงๆ
วงดนตรีก็เล่นไปหลายวงแล้ว
เราได้ดูวง ETC. กับ Groove Rider แค่ 2 วง
แต่กระโดดโลดเต้นกันสนุกสนานมาก
จำได้ว่าเคยสนุกอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
เวลามีวงดนตรีมาแคมปัสทัวร์ที่มหาวิทยาลัย
พวกเราจะออกไปดูวงที่ชอบ
แม้ไม่มีแอลกอฮอลเราก็เต้นกันเหมือนเมาได้
ตอนปี 4 เคยออกไปเต้นทั้งผ้าถุงต่อหน้าน้องๆ เฟรชชี่มาแล้ว
พอย้อนนึกกลับไปตอนนั้นยังตลกตัวเองไม่หาย
ดีใจจริงๆ ที่วันนั้นเราได้ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน
และจะยิ่งดีใจกว่าถ้าเราได้ไปดูกันอีกในงานต่อๆ ไป
ตอนนี้เริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง
คงจะมีเวลาหาคอนเสิร์ตดูมากขึ้น
(แต่เสียดายเหมือนกันที่อายุปูนนี้แล้วต้องบอกลาผ้าถุงไป
เพราะเวลาใส่ผ้าถุงเต้นแล้วได้อารมณ์อย่างบอกไม่ถูก)

Friday, February 29, 2008

Jazz

เย็นวันนี้ฉันและเพื่อนทั้ง 4 คนนัดกันที่เซ็นทรัลเวิร์ดเพื่อจะได้ออกเดินทางไปงานคืนสู่เหย้าที่ทับแก้ว

ฉันถึงก่อนคนแรกพอดีรู้ว่ามีนิทรรศการภาพถ่าย 9 days in the kingdom จัดแสดงอยู่ที่ Zen เลยเข้าไปชมฆ่าเวลา
ในงานมีภาพถ่ายของศิลปิน 55 คน กับ 9 วันในเมืองไทย
หลายมุมของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถูกถ่ายทอดแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นที่ไหนมาก่อน
ช่วงเวลาที่กำลังเดินรอเพื่อนอยู่ในงานภาพถ่ายนี้กลายเป็น
จังหวะการรอคอยที่มหัศจรรย์
เหมือนเราเดินอยู่ในประเทศไทยที่ดูไม่เหมือนประเทศไทยเอาเสียเลย
ระหว่างที่กำลังตื่นเต้นกับภาพถ่ายนุกโทรเข้ามาว่าถึงเซ็นทรัลเวิร์ดแล้ว ฉันค่อยๆ เดินผ่านภาพแต่ละภาพโดยไม่วางตา
พยายามจะกลืนเอาอาณาจักรแห่งนี้ไปทั้งหมดในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด

แน่นอนว่านุกจะกลายเป็นคนขับรถจำเป็นในวันนี้
คนขับรถมาถึงแล้ว ผู้โดยสารคนหนึ่งคือ ฉัน มาถึงเหมือนกัน รออีก 2 สาวเท่านั้นเราก็จะสามารถออกเดินทางไปนครปฐมได้

พอแฟงกับน้องมาถึงเราทั้ง 4 คนเดินไปคุยกันไป
นึกไปถึงสมัยเรียน
สมัยที่ยังอยู่หอด้วยกัน
แม้แต่ละคนจะมีมุมที่เปลี่ยนแปลงกันไปบ้าง
แต่เมื่อทุกคนมาอยู่รวมกันบทสนทนาของเรามักนำพาไปในทิศทางเดิม

แฟงยังมีเหตุผลหลายแง่มุมสำหรับคำถามสักหนึ่งจากน้อง
นุกยังคงประนีประนอมเมื่อใครสักคนเริ่มทะเลาะกัน
ส่วนฉันมองไม่เห็นตัวเองว่ากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งไหนของกลุ่ม
ที่แน่ชัดคือฉันคือผู้รับฟังเสมอ

เราทั้ง 4 ก้าวขึ้นรถฮอนด้าแจ๊ซสีดำของนุก
ออกเดินทางด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น
เหมือนเด็กสาววางแผนไปเที่ยว

เดี๋ยวนี้กลุ่มเราเดินทางร่วมกันสม่ำเสมอ
บ้างนัดกันไปเที่ยวต่างจังหวัด
บ้างนัดกินข้าว
บ้างนัดดูมหรสพ ละครเวที คอนเสิร์ต แล้วแต่เทศกาล
แต่เราพยายามเจอกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไม่ใช่เพราะทำให้เป็นกฎกติกา
แต่เพราะเวลาจะไปไหนหรืออยากทำอะไรมักจะนึกถึงกันเสมอ

บนรถแฟงพยายามแต่งหน้าไปด้วย
ใครๆ ก็อยากสวยในงานคืนสู่เหย้า เราจะได้ไปเจอเพื่อน พี่ น้อง
ที่สำคัญแฟงเป็นถึงประธานเชียร์ คนรู้จักเยอะแยะ
โทรมไปเดี๋ยวจะแย่
น้องพยายามแต่งบ้างเหมือนกัน
ส่วนนุกมันคงแต่งมาตั้งแต่ออกจากบ้าน
ฉันขอยืมนู้นนี่มาปัดบ้างเพราะกลัวถ่ายรูปออกมาแล้วจะมองไม่เห็นหน้า

เพลงที่เปิดในรถเป็นเพลงสากลทันสมัย
ฉันไม่ได้ฟังเพลงใหม่ๆ นานแล้วตั้งแต่หยุดชีวิตตัวเองให้อยู่กับที่
ถ้าเป็นสมัยเรียนพวกเราจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ เสมอ
ฉันจะเอาเพลงใหม่ทั้งไทยและสากลมาเปิดที่ห้อง
แฟงจะขนซีดีมาอัพเดท
น้องนั่งฟังไปกับพวกเรา
นุกยึดซีดีกลับไปฟังที่บ้านตลอด
ศิลปินหน้าใหม่ที่ใครไม่ค่อยรู้จัก ใต้ดิน บนดิน เรารู้จักหมด
ถ้ามีคอนเสิร์ตมาที่มหาลัยพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ไปร้องเพลง เต้นระบำ บางทีเผลอรำฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน
คอนเสิร์ตฟรีอย่างนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูแล้ว
ยิ่งสมัยก่อนคณะดุริยางค์มักจะมีดนตรีมาแสดงให้ดูอยู่เรื่อยๆ
ทั้งคลาสสิก แจ๊ซ แสดงเดี่ยว แสดงเป็นวง
โรงละครยังได้ต้อนรับนักดนตรีและผู้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
บรรยากาศอบอุ่นอิ่มใจ

พอไปถึงงานคืนสู่เหย้าได้เจอเพื่อนเยอะแยะ
นั่งกินนั่งคุยกันไปเรื่อย
ในงานมีการประมูลของเพื่อนำเงินมาช่วยคณะ
มีโชว์ร้องเพลงประจำคณะให้ซึ้งใจกัน
ศิษย์เก่าขึ้นพูดคุยบนเวที

พวกเรานั่งดูอยู่ห่างๆ
(โต๊ะพวกเราห่างจริงๆ)
ประทับใจอยู่ห่างๆ
กิจกรรมและบรรยากาศสนุกสนานไปตามอัธยาศัย

คืนนั้นนุกขับรถพาพวกเรากลับบ้านด้วยรถคันเดิม
ความเป็นเพื่อนของเรายังคงเดิม
ฉันคิดอยู่เสมอว่าพวกเราเมื่อเติบโตขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างทีละเล็กทีละน้อย
ซึ่งพวกเราเฝ้ามองเวลานั้นอยู่อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่อาจไม่สามารถเปลี่ยนไป
แม้วันเวลาผ่านไปเท่าไร
อยู่ภายใต้พวงมาลัยของนุกในรถฮอนด้าแจ๊ซคันนี้
พวกเราทั้ง 4 คน เมื่อได้มาอยู่รวมกัน
ฉันเชื่อว่าสถานะของพวกเราจะคงเดิม
จังหวะในการพูดคุยและระยะห่างในเดินการจับมือกัน
อ้อมแขนที่โอบกอดกัน
จะยังคงอยู่

แม้เราแก่ตัวลง เมื่อดนตรีบรรเลง ฉันเชื่อว่าพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ร้องเพลง เต้นระบำ ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานเช่นเคย





Saturday, February 16, 2008

เช็คสเปียร์ ผู้สร้างตัวละครอมตะ

เมื่อวานได้ไปงาน Reminder Award 2007 ของรุ่นน้องมาค่ะ
ได้ไปเจออาจารย์หลายคนอีกครั้ง ทั้งคุยกันถ่ายรูปกันสนุกสนาน
ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยเรียนเคยเล่น แม้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่ยังนำมาใช้ได้เสมอคือเนื้อหาที่อาจารย์สอนไว้
ถึงตอนเรียนจะไม่ได้คิดถึงเรื่องการนำไปใช้สักเท่าไร แต่เมื่อเรียนจบออกมาทำงานแล้วกลับนำสิ่งที่เราเคยเรียนมาใช้ได้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา วิธีการวิเคราะห์ หรือวิธีในการเขียนหนังสือ (เพราะตอนเรียนต้องเขียนการบ้านส่งครูเยอะมาก)
ครั้งที่เรียนวิชา เช็คสเปียร์ เรียนด้วยความสนุกสนาน เรียกได้ว่าการเรียนละครเป็นความบันเทิงชนิดหนึ่งได้เลย
ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจะได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาในการเขียนงานส่งนิตยสาร Happening จริงๆ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับ วิลเลียม เช็คสเปียร์
วันนี้เลยลงเอาไว้เพื่อนึกถึงอดีตของตัวเอง รวมถึงบอกต่อเรื่องราวของเขาเผื่อว่าใครจะยังไม่เคยได้รับรู้ความสามารถของนักประพันธ์อมตะคนนี้

...

เช็คสเปียร์ ผู้สร้างตัวละครอมตะ

วิลเลียม เช็คสเปียร์ เป็นนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยพระนางเจ้าอลิซเบธที่ 1 แห่งประเทศอังกฤษ ปัจจุบันทั่วโลกรู้จักเขาในฐานะนักประพันธ์คนสำคัญของโลก

เขาเกิดวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1564 ในครอบครัวฐานะปานกลาง ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 และแต่งงานเมื่ออายุ 18 ปี เมื่อย้ายเข้ามาอยู่เมืองลอนดอนจึงเริ่มอาชีพเป็นนักแสดงตัวประกอบในโรงละครแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเขียนบทละครจนผลงานของเขาเป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบัน เช็คสเปียร์เสียชีวิตวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 อายุได้ 52 ปีเท่านั้น ในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ได้สร้างบทละครอมตะไว้อย่างน้อย 37 เรื่อง และบทกวีอีกมากกว่า 150 บท

บทละครของเขาล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้จะรู้สึกคุ้นหรือเหมือนเคยได้ยินชื่อละครของเขามาบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเข้าไปทำความรู้จักกับผลงานของเขาโดยตรง หลายคนแค่ได้ยินชื่อเช็คสเปียร์ก็หนาวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงบทละครภาษาอังกฤษที่แต่งเป็นกวีล้วนๆ (ซึ่งต่อให้แปลเป็นภาษาไทยก็ไม่คิดอ่าน) ได้เห็นความหนาของหนังสือพาลจะทำให้เป็นลม (ตามประสาคนรักการอ่านบ้านเรา) ดังนั้นถึงยังไม่เคยสัมผัสกับบทละครของเขาก็คงคิดไปต่างๆ นานาว่า ภาษาโบราณน่ากลัว บทกวีน่าเบื่อ หรือไม่ก็ปล่อยให้วรรณกรรมอมตะเป็นหน้าที่ของพวกคงแก่เรียนใช้ศึกษากันเท่านั้น
หารู้ไม่ว่าบทละครของเขาก้าวล้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าที่ทุกคนต้องผ่านหูมานานแล้ว หากนึกดูดีๆ จะรู้ว่าผลงานของเช็คสเปียร์ไม่ได้ห่างไกลจากการรับรู้ของเราเลย ทุกคนต้องเคยได้ยินเรื่องรักรันทดของโรมิโอและจูเลียต หรือ โศกนาฏกรรมของเจ้าชายแฮมเล็ตผู้โดดเดี่ยวมาบ้าง ละครของเช็คสเปียร์ไม่ได้จำกัดอยู่ในแวดวงของผู้ที่สนใจวรรณกรรมเท่านั้น หากแต่แพร่หลายอยู่ในหนังหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังที่สร้างตามบทประพันธ์ดั้งเดิมหรือหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทละครของเช็คสเปียร์

หนังที่นำบทละครมาสร้างมีมากมายหลายเวอร์ชั่น คนที่ได้ดู Romeo and Juliet (1996) เวอร์ชั่นที่ Leonado Di Caprio แสดงกับ Claire Danes คงจำกันได้ว่าหนังเรื่องนี้สนุกแค่ไหน เพราะผู้กำกับ Baz Luhrman นำความรักที่ก่ออยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของ 2 ตระกูลออกมาถ่ายทอดได้ร่วมสมัยถูกใจวัยรุ่น ในขณะที่ยังคงบทสนทนาที่เป็นบทกวีไว้เพื่อแสดงความเคารพต่อบทละครของเช็คสเปียร์ได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ ถ้าได้สังเกตดีๆ จะเห็นชื่อของสถานที่และสิ่งของต่างๆ ในเรื่องยังใช้ชื่อเดียวกับคน สถานที่ และสิ่งของในบทละคร แม้แต่ปืนที่ Romeo ใช้ในเรื่องยังมีคำว่า Sword ซึ่งหมายถึงดาบที่ตัวละครใช้ในบทดั้งเดิมสลักอยู่

ยังมีหนังที่นำพล็อตมาจากเรื่องนี้มาสร้างจนโด่งดังเช่นกันคือ West Side Story (1961) ที่ Natalie Wood แสดงกับ Richard Beymer แต่ปรับจากความขัดแย้งของตระกูล Capulet และ Montagueเป็นความขัดแย้งระหว่าง Puerto Rican และ White Gangs ในนิวยอร์คซิตี้แทน หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังเพลงสุดคลาสสิกอีกเรื่องหนึ่งที่คอหนังรู้จักกันดี

หนังเรื่อง O (2001) นำแสดงโดย Mekhi Phifer(Odin James), Josh Hartnett(Hugo Goulding), Andrew Keegan(Michael Cassio) และ Julia Stiles(Desi Brable) นำพล็อตมาจาก Othello มาทำให้เป็นเรื่องของวัยรุ่นนักบาสเก็ตบอลดาวรุ่งที่ถูกเพื่อนอิจฉาจนอนาคตถูกทำลายลงเพราะความหึงหวงในที่สุด
ปี 2000 มีการสร้างหนัง Hamlet เวอร์ชั่นใหม่ที่ใช้ฉากหลังเป็นมหานครนิวยอร์ค Ethan Hawke รับบท Hamlet ในเรื่องพ่อของเขาถูกอาแท้ๆ ของตัวเองฆาตกรรม Julia Stile รับบท Ophelia หญิงผู้เจ็บปวดเพราะความรักที่มีต่อ Hamlet จนต้องฆ่าตัวตายในที่สุด บทละครเดิม Hamlet นำละครที่เลียนแบบเหตุการณ์เหมือนกับที่อาฆ่าพ่อของเขามาแสดงให้คนดูเพื่อจับพิรุธของอา ส่วนในหนังเรื่องนี้ Hamlet ทำหนังสั้นมาฉายให้อาและแม่ของเขาดูเป็นการดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ส่วนชะตากรรมของตัวละครในเรื่องส่วนใหญ่ยังคงไว้เช่นเดิม

The Banquet (2006) ที่จางซิยี่เล่นก็มีพล็อตมาจากเรื่อง Hamlet เช่นกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นหนังจีนที่ตั้งชื่อตัวละครใหม่หมด แต่ในเนื้อเรื่องนั้นยังคงเดิม สิ่งที่หนังเรื่องนี้คงไว้คือวิธีการฆ่าจักรพรรดิองค์เก่าซึ่งเป็นพ่อของเจ้าชายอวู๋หลวนโดยการเป่ายาพิษเข้าไปในหูเหมือนพ่อของ Hamlet มีการเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องให้เฉลี่ยไปทางตัวละครฮองเฮาหวั่นที่จางซิยี่เล่นไปจากเจ้าชายอวู๋หลวน (Hamlet) ที่แดเนี่ยล วูเล่นบ้าง รวมถึงปรับความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ ให้ได้อารมณ์หนังตะวันออกยิ่งขึ้น จะเสียดายก็แต่เพียงตัวละครที่มีความสลับซับซ้อนอย่าง Hamlet ต้องถูกตัดทอนไป และแม้จะพยายามใส่ความซับซ้อนให้กับจางซิยี่แล้วก็ยังถือว่ามีน้ำหนักน้อยไปกว่าบทประพันธ์ดั้งเดิมนัก

เปลี่ยนมาพูดถึงหนังที่สร้างมาจากสุขนาฏกรรมบ้าง หนังวัยรุ่นเรื่อง 10 Things I Hate about You (1999) ที่แสดงโดย Julia Stiles และ Heather Ledge ก็นำพล็อตมาจากบทละครเรื่อง The Taming of the Shrew (แต่งประมาณปี 1593-1594) ซึ่งถ้าดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นหนังรักวัยรุ่นทั่วไปเท่านั้น
ล่าสุดหนังเรื่อง She’s the Man (2006) แสดงนำโดย Amanda Bynes(Viola), Chunning Tatum(Duke), Laura Ramsey(Olivia) และ James Kirk(Sabastian) ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทละครเรื่อง Twelfth Night (แต่งประมาณปี 1599-1600) ซึ่งแม้จุดเริ่มจะไม่เหมือนกับต้นฉบับที่ตัวนางเอกรอดชีวิตจากเรืออัปปางมาถึงชายฝั่งเมือง Illyria แต่ฉากเปิดของเรื่องเธอเล่นฟุตบอลอยู่บนชายหาดซึ่งมีสัญลักษณ์ห่วงยางช่วยชีวิตปรากฏอยู่ด้วย ส่วนโรงเรียนที่ Viola ไปสวมรอยแทนฝาแฝดมีชื่อว่า Illyria เหมือนกับชายฝั่งที่ปรากฏในเรื่อง Twelfth Night ที่ Viola รอดชีวิตจากเรืออัปปางไปอยู่ที่เมืองนั้น ส่วนชื่อร้านอาหาร Cesario ที่เหล่าวัยรุ่นไปรวมตัวกันในเรื่องนั้นเป็นชื่อเดียวกับนามแฝงที่ Viola ใช้ในการปลอมตัวเป็นผู้ชายในบทดั้งเดิม

ส่วนหนังเรื่อง Shakespeare in Love (1998) ที่ Ralph Fiennes(Shakespeare) และ Gwyneth Paltrow(Viola) แสดงนำนั้นเชื่อว่าใครหลายคนคงนึกสงสัยว่าเป็นชีวิตจริงของเช็คสเปียร์หรือเปล่า บอกได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้สร้างมาจากชีวิตจริงของเช็คสเปียร์แต่ได้นำส่วนประกอบในชีวิตของเขามาสร้างเป็นหนังเรื่องนี้

คนเขียนบทได้รับแรงบันดาลใจจากบทละครหลายเรื่องของเช็คสเปียร์ จึงพยายามตั้งสมมติฐานถึงที่มาของบทละครเรื่อง Romeo and Juliet ว่าเช็คสเปียร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งที่ชื่อ Viola (ซึ่ง Viola คือชื่อของตัวเอกในละครเรื่อง Twelfth Night นั่นเอง) คนเขียนบทนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบกันได้อย่างลงตัว จนคนดูหนังเรื่องนี้อาจเชื่อได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง รวมถึงยังมีการนำคนที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์เช่น Christopher Marlowe นักเขียนบทละครชื่อดังในสมัยนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่องอีกด้วย แสดงโดย Rupert Everett ในเรื่องเขาเป็นเพื่อนนักเขียนบทละครของ Shakespeare ที่ให้คำปรึกษาเรื่องชื่อละครที่เช็คสเปียร์กำลังแต่งอยู่จนได้เป็นชื่อ Romeo and Juliet ในที่สุด

วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์สิ้นลมไป 391 ปีแล้ว แต่ตัวละครของเขายังไม่ได้ตายจากไปพร้อมกับผู้ประพันธ์ คนหลายเชื้อชาติยังคงหยิบบทละครเวทีของเขามาสร้างให้คนได้ดูกันอยู่เรื่อยๆ บทละครถูกนำมาสร้างต่อและก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องในเวลาต่อมา ตัวละครที่เขาสร้างมีอายุต่อมาอีกกว่า 400 ปี ยิ่งไปกว่านั้นมีแนวโน้มว่าจะคงมีลมหายใจยาวนานต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของตัวละครไปบ้างแต่จิตวิญญาณของตัวละครที่เช็คสเปียร์สร้างยังคงประทับอยู่ไม่เสื่อมคลาย


ถ้าอยากจะลองหากหนังที่ดัดแปลงมาจากบทละครของเช็คสเปียร์ลองหาเรื่องเหล่านี้มาดูได้

- Forbidden Planet (1956) ดัดแปลงจากเรื่อง The Tempest กำกับโดย Fred M. Wilcox
- Throne of Blood และ The Castle of the Spider’s Web (1957) ดัดแปลงจากเรื่องMacbeth กำกับโดย Akira Kurosawa
- Valley Girl (1983) ดัดแปลงจากเรื่อง Romeo and Juliet กำกับโดย Martha Coolidge
- Ran (1985) ดัดแปลงจากเรื่อง King Lear กำกับโดย Akira Kurosawa


...

อันที่จริงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเช็คสเปียร์ยังมีอีกมาก เพราะตอนที่ได้เรียนวิชาของภาคภาษาอังกฤษนั้นได้อ่านบทประพันธ์ของเขาและรับรู้ความอัจฉริยะในด้านการประพันธ์ของเขาอย่างลึกซึ้ง จำได้ว่าตอนเรียนนั้นนับเป็นความประทับใจที่สุดวิชาหนึ่งทีเดียว
หากมีโอกาสอาจจะได้หยิบยกมาเล่าให้ฟังบ้าง สักประโยค 2 ประโยคก็ยังดี

Tuesday, February 12, 2008

เผชิญความเหงา


...
...
...
การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิต
กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับการปรับตัว
แต่เป็นเรื่องยากที่จะลดการสะเทือนใจ
...
นั่งเรือไปใจคิดถึงแต่ว่าจุดหมายที่เรากำลังไปถึงจะทำให้เรามีความสุขได้หรือเปล่า

ปัญหาที่ค้างคาใจบางครั้งสลัดได้ยากกว่าเวลาที่เราเผชิญหน้ากับมันโดยตรง


เวลาผ่านไป เมื่อถึงที่หมายจริงๆ กลับไม่คิดอะไรอีกแล้ว

ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพักผ่อนหย่อนใจลงในน้ำทะเลจนเปียกชุ่ม

ว่ายไปในมหาสมุทรที่มนุษย์สำรวจไม่ถึง

ดึงแขนที่เหนื่อยล้าของตัวเองปีนป่ายไปยังดวงดาวระยิบระยับที่เห็นไม่ได้ในเมืองใหญ่


ครั้นเมื่อหลับฝันไปกลับเห็นภาพที่ตัวเองจินตนาการขึ้น

ความคิดถึงโหยหาและกังวลหลอกหลอนให้น้ำตาไหลลงมาจนต้องปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน


หัวใจหล่นลง พร้อมกับถูกบีบรัด

เมื่อรู้ว่าจริงๆ แล้วจะไม่ได้เจอหน้ากันอีก

แม้ในฝันยังไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าเราจะต้องจากเขาไปจริงๆ
ยิ่งในฝันยังไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าเรารักพวกเขาเต็มหัวใจ
และเรากำลังทอดทิ้งเขาไปไกลห่าง
แม้สามารถกลับไปหา
ไปเจอหน้า
แต่ใจไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าปรารถนาชิดใกล้มากมายเพียงใด
โปรดเถิดน้ำทะเลใส
ช่วยชะล้างจิตใจให้คลายเหงา
ท้องฟ้าช่วยนำพาดวงดาว
มารักษาดวงใจทุกคนที่ต้องเผชิญกับความคิดถึง
ไม่ให้ปวดร้าวมากนัก
...
...
...
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเผชิญความเหงาที่แท้จริง
...

ขมจดจำ หวานจับใจ

งานเขียนชิ้นนี้เขียนเก็บไว้นานแล้วค่ะ เนื่องจากพี่ที่รู้จักกันขอให้เขียนมาลงนิตยสารแฟชั่นของเขาประกอบกับเรื่องราวของนางแบบ ผ่านไปประมาณปีกว่า รู้สึกว่าอยากหยิบมันขึ้นมาให้คนอื่นลองอ่านดูบ้าง

Bitter Sweet Memory

ตู้กระจกหน้าร้านขายขนมเต็มไปด้วยเด็กๆ ยืนเอาหน้าแนบกระจกร้าน พวกเขามองดูลูกกวาดหลากชนิด รวมถึงช็อกโกแลตห่อกระดาษที่จัดอยู่ภายในพลางชี้ให้เพื่อนดูว่ามีชิ้นไหนบ้างที่ตนอยากจับจอง
พวกเขาคงนึกว่าเอาหน้าแนบกระจกอย่างนั้นแล้วจะสามารถทะลุผ่านไปลิ้มรสขนมหวานได้กระมัง
เจ้าของร้านนึกสนุกอยากจะแกล้งเด็กเหล่านั้นบ้าง เขาค่อยๆ คลานหลบต่ำไปหน้าร้านเงียบๆ แล้วกระโดดแลบลิ้นหลอกเด็กๆ พวกนั้นจนตกใจวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง

เขาหัวเราะชอบใจที่แกล้งเด็กพวกนั้นสำเร็จกำลังหันหลังกลับไปหยิบผ้ามาเช็ดกระจกแต่ยังไม่ทันกลับหลังหันไป เขาเห็นหัวเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก้มต่ำอยู่ คงไม่ทันได้วิ่งหนีไปเหมือนเพื่อนๆ
เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่คนเดียว สงสัยไม่รู้ว่าเพื่อนๆ วิ่งหนีหายไปหมดแล้ว มือเล็กๆ ทั้งสองข้างปิดตาแน่นจนมองไม่เห็นหน้า รอยยิ้มพลันปรากฏอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มเจ้าของร้านอีกครั้ง

เขาเดินออกมาหน้าร้านเงียบๆ หวังจะแกล้งให้เด็กผู้หญิงสะดุ้งตกใจ ค่อยๆ เขยิบไปใกล้ทีละก้าว... ทีละก้าว... ทีละก้าว... เพื่อเข้าประชิดตัวเด็กผู้หญิงคนนั้น
บู้! “เฮ้ย” เขาหงายหลังล้มตึง
ให้ตายสิ กลับกลายเป็นเขาที่ตกใจเสียเอง เด็กผู้หญิงยิ้มกว้างหัวเราะคิกคักก่อนวิ่งออกไป เธอหันกลับมาโบกมือให้เขาทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น
เธอวิ่งไกลออกไปแล้ว ทิ้งให้ชายหนุ่มยังยืนตะลึงนิ่งอยู่ที่เดิมคนเดียว
“โดนเด็กเอาคืนจนได้” เขายิ้ม ในใจไม่ได้มีความโมโหเหมือนผู้ใหญ่คนอื่นที่มักรู้สึกเสียหน้าเวลาโดนเด็กแกล้ง ใบหน้าของเด็กคนนั้นยังประทับอยู่ในใจเขาแม้ในฝัน

..................

เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มลุกขึ้นมามีแรงบันดาลใจจัดร้านใหม่ ความฝันเมื่อคืนคล้ายกับจะมีเด็กผู้หญิงคนนั้นมาคอยช่วยทำขนมอยู่ข้างๆ เธอสูงไม่ถึงเอวเขาด้วยซ้ำแต่สามารถทำขนมได้คล้องแคล้วเหมือนผู้ใหญ่มืออาชีพ แต่นั่นเป็นภาพลางๆ เท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่ชัดเจนกว่าอยู่ตรงหน้า
ขนมหลายสีสันและรูปร่างใหม่ๆ ถูกนำมาจัดอวดโฉมอยู่หน้าร้าน ทำให้บรรยากาศสดใสขึ้นอีกมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกแจ่มใสตลอดเวลาที่นั่งเฝ้าอยู่ที่ร้านอยู่แล้วก็ตาม ยิ่งได้ทำขนมลูกกวาดสีใหม่ๆ นำมาวางแทนที่ขนมเดิมยิ่งทำให้รู้สึกร่าเริงเพิ่มขึ้นอีก
ระหว่างที่เขาวางขนมแต่ละชิ้นเขาจะรู้สึกถึงรสชาติของมันไปด้วย อมยิ้มสีรุ้งอันนี้เมื่ออมอยู่ในปากจะมีรสหวานในขณะเดียวกันยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดอยู่ในปากด้วย คนที่กินจะรู้สึกถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ยามฝนหยุดตกใหม่ๆ แน่นอนว่าสายรุ้งที่ทอดผ่านท้องฟ้าเป็นแรงบันดาลใจในการทำอมยิ้มชนิดนี้ สำหรับลูกกวาดเม็ดกลมหลากสีมาจากงานเทศกาลประจำปี ทั้งบนอาคารและต้นไม้ถูกประดับด้วยลูกโป่งหลายสี เหมือนลูกกวาดหลายเม็ดที่มีสีไม่ซ้ำกันอย่างนี้
สำหรับช็อกโกแลตรสขมเป็นสูตรที่พิเศษกว่าขนมหวานชิ้นอื่นๆ มันคือความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน

..................

นึกไปแล้วหน้าเธอเหมือนเด็กผู้หญิงคนเมื่อวาน ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง จมูกรั้น ตาดำกลมโต ผิดแค่ตรงใบหูของเธอที่กางน้อยกว่าเด็กคนนั้นสักหน่อย
หน้าร้อนเธอไม่กลัวที่เดินผ่านทางเดินที่มีร่มไม้ ทั้งๆ ที่ทุกคนเดินหลบอยู่ใต้ร่มตึกเท่านั้น หน้าฝนเธอคือคนที่ออกไปเล่นน้ำฝนไม่กลัวเป็นหวัดเลยสักนิด หน้าหนาวเราสองคนทำช็อกโกแลตร้อนกินให้ใจอุ่นอิงกัน ความทรงจำตอนนั้นเหมือนลูกกวาดและอมยิ้มหลากสีที่สร้างความร่าเริงให้เขาอยู่เสมอ
นั่นคือความโชคดีที่เกิดขึ้นในชีวิต ครั้งหนึ่งที่มีคนรัก ครั้งหนึ่งที่ความฝันอยู่ใกล้แค่เอื้อม หรือความสุขนิรันดร์ไม่ได้ยากเย็นเช่นใครคิด

..................

ที่จริงแล้ว... ความสุขนิรันดร์ได้มายากยิ่ง ความฝันสร้างความมุ่งมั่นให้ใจพุ่งไปยังจุดหมาย ในเมื่อความฝันของเธอต่างไป หัวใจของเธอจึงพุ่งไปทางนั้น
ช็อกโกแลตขมนี้จึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เราต่างแยกทางเดิน

..................

เด็กผู้หญิงคนเมื่อวานยืนอยู่หน้าร้านด้วยแววตาเป็นประกาย ชายหนุ่มมัวแต่นั่งนึกถึงอดีตของตัวเองจนลืมมองว่าเธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาในร้านแล้ว
“พี่ชายทำขนมแบบใหม่เหรอคะ”
เขาตกใจตื่น เปล่าหรอก เขาไม่ได้ตื่นจากฝัน หากแต่เขาตื่นจากอดีตที่มีเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนปลุก
เด็กผู้หญิงยื่นเหรียญทองให้เขาพร้อมกับชี้ไปที่ช็อกโกแลตขมที่ห่อด้วยกระดาษสีเงินผูกโบว์สีขาว
“ชิ้นนี้มีรสขมด้วยนะ หนูเป็นเด็กกินลูกกวาดดีกว่าไหม” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับแนะนำลูกกวาดสีสดใสข้างๆ วันนี้เธอและเขาเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้คิดเอาชนะด้วยการแกล้งอีกแล้ว
“หนูอยากกินชิ้นนี้นี่นา...” แววตาของเธอคลายความสดใสลงไป ก่อนที่ประกายนั้นจะกลับขึ้นมาใหม่พร้อมน้ำเสียงที่อ้อนวอนกึ่งรบเร้า “ถ้าอย่างนั้นหนูชิมก่อนได้ไหม ถ้าไม่อร่อยแล้วหนูจะซื้ออย่างอื่น หนูเอาอย่างอื่นกลับบ้านก็ได้แต่ต้องลองชิ้นนี้ก่อนนะ พี่ชายให้หนูชิมนะ” เพียงประโยคแรกเขาก็สิโรราบให้กับเธอแล้ว ใครจะยอมใจแข็งอยู่ได้เมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ ที่อ่อนหวานเช่นนี้ เขาตัดแบ่งช็อกโกแลตในถาดที่ยังไม่ได้ห่อให้เธอลองชิมก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะได้เห็นหน้ายู่ๆ ของเธอหลังจากได้ลิ้มรสขมเข้าไป
“อร่อยจัง...” ชายหนุ่มประหลาดใจที่เธอชอบรสชาติช็อกโกแลตแบบผู้ใหญ่นี้
เด็กมักจะชอบขนมหวานนี่นา หรือว่าเด็กคนนี้จะแกล้งบอกเพราะกลัวเสียฟอร์มกันแน่
เธอเงยหน้าขึ้นมามองเข้าด้วยความสงสัย “ไม่เห็นขมเลยนี่คะ ทำไมพี่ชายบอกว่าขม” ชายหนุ่มยิ่งสงสัย เขาตัดชิมคำหนึ่ง รสชาติหวานกลมกล่อมดั่งช็อกโกแลตร้อนที่เขาเคยดื่มกระจายทั่วลิ้น

..................

เขาเดินออกมาหน้าร้านส่งลูกค้าตัวน้อย เด็กผู้หญิงถือช็อกโกแลตในมือกึ่งเดินกึ่งกระโดดกลับบ้าน เธอหันมาโบกมือให้เขาก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป มันช่างดูเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของนักผจญภัยตัวน้อยจริงๆ
เจ้าของรอยยิ้มหวานจากไปแล้วแต่ในใจเขายังคงมีรสชาติความหอมหวานกรุ่นอยู่ไม่คลาย

..................

หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยทำช็อกโกแลตขมนั้นได้เป็นรสชาติเดิมไม่แปรเปลี่ยน แต่ทำไมวันนี้รสชาตินั้นถึงจางหายไป
มันกลายเป็นรสชาติใหม่ที่เขาเองอดรู้สึกชื่นชมมันไม่ได้
หรือเพราะเมื่อคืนในความฝัน เขามีเด็กผู้หญิงคนนี้อมยิ้มอยู่เคียงข้าง
เธอปลุกให้เขาสามารถลิ้มรสชาติแสนหวานของชีวิตได้บ้าง แม้ที่ผ่านมาความฝันของเขาจะปะปนไปด้วยความขมไม่จาง

ความหวานของรอยยิ้มและลักยิ้มบนใบหน้านั้นเพิ่มรสชาติในความทรงจำของเขาขึ้นอีกรสชาติหนึ่ง ซึ่งเมื่อเธอเดินผ่านบ้านใครต่อใคร เธอคงสร้างรสชาติใหม่ให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้เช่นกัน


.....................

โจทย์ของงานชิ้นนี้คือ ช็อกโกแลต ค่ะ พลางคิดถึงตัวเองที่ชอบกินช็อกโกแลตและบรรยายออกมาอย่างนี้
ถ้าใครมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับช็อกโกแลตลองมาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ