Friday, February 29, 2008

Jazz

เย็นวันนี้ฉันและเพื่อนทั้ง 4 คนนัดกันที่เซ็นทรัลเวิร์ดเพื่อจะได้ออกเดินทางไปงานคืนสู่เหย้าที่ทับแก้ว

ฉันถึงก่อนคนแรกพอดีรู้ว่ามีนิทรรศการภาพถ่าย 9 days in the kingdom จัดแสดงอยู่ที่ Zen เลยเข้าไปชมฆ่าเวลา
ในงานมีภาพถ่ายของศิลปิน 55 คน กับ 9 วันในเมืองไทย
หลายมุมของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถูกถ่ายทอดแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นที่ไหนมาก่อน
ช่วงเวลาที่กำลังเดินรอเพื่อนอยู่ในงานภาพถ่ายนี้กลายเป็น
จังหวะการรอคอยที่มหัศจรรย์
เหมือนเราเดินอยู่ในประเทศไทยที่ดูไม่เหมือนประเทศไทยเอาเสียเลย
ระหว่างที่กำลังตื่นเต้นกับภาพถ่ายนุกโทรเข้ามาว่าถึงเซ็นทรัลเวิร์ดแล้ว ฉันค่อยๆ เดินผ่านภาพแต่ละภาพโดยไม่วางตา
พยายามจะกลืนเอาอาณาจักรแห่งนี้ไปทั้งหมดในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด

แน่นอนว่านุกจะกลายเป็นคนขับรถจำเป็นในวันนี้
คนขับรถมาถึงแล้ว ผู้โดยสารคนหนึ่งคือ ฉัน มาถึงเหมือนกัน รออีก 2 สาวเท่านั้นเราก็จะสามารถออกเดินทางไปนครปฐมได้

พอแฟงกับน้องมาถึงเราทั้ง 4 คนเดินไปคุยกันไป
นึกไปถึงสมัยเรียน
สมัยที่ยังอยู่หอด้วยกัน
แม้แต่ละคนจะมีมุมที่เปลี่ยนแปลงกันไปบ้าง
แต่เมื่อทุกคนมาอยู่รวมกันบทสนทนาของเรามักนำพาไปในทิศทางเดิม

แฟงยังมีเหตุผลหลายแง่มุมสำหรับคำถามสักหนึ่งจากน้อง
นุกยังคงประนีประนอมเมื่อใครสักคนเริ่มทะเลาะกัน
ส่วนฉันมองไม่เห็นตัวเองว่ากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งไหนของกลุ่ม
ที่แน่ชัดคือฉันคือผู้รับฟังเสมอ

เราทั้ง 4 ก้าวขึ้นรถฮอนด้าแจ๊ซสีดำของนุก
ออกเดินทางด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น
เหมือนเด็กสาววางแผนไปเที่ยว

เดี๋ยวนี้กลุ่มเราเดินทางร่วมกันสม่ำเสมอ
บ้างนัดกันไปเที่ยวต่างจังหวัด
บ้างนัดกินข้าว
บ้างนัดดูมหรสพ ละครเวที คอนเสิร์ต แล้วแต่เทศกาล
แต่เราพยายามเจอกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไม่ใช่เพราะทำให้เป็นกฎกติกา
แต่เพราะเวลาจะไปไหนหรืออยากทำอะไรมักจะนึกถึงกันเสมอ

บนรถแฟงพยายามแต่งหน้าไปด้วย
ใครๆ ก็อยากสวยในงานคืนสู่เหย้า เราจะได้ไปเจอเพื่อน พี่ น้อง
ที่สำคัญแฟงเป็นถึงประธานเชียร์ คนรู้จักเยอะแยะ
โทรมไปเดี๋ยวจะแย่
น้องพยายามแต่งบ้างเหมือนกัน
ส่วนนุกมันคงแต่งมาตั้งแต่ออกจากบ้าน
ฉันขอยืมนู้นนี่มาปัดบ้างเพราะกลัวถ่ายรูปออกมาแล้วจะมองไม่เห็นหน้า

เพลงที่เปิดในรถเป็นเพลงสากลทันสมัย
ฉันไม่ได้ฟังเพลงใหม่ๆ นานแล้วตั้งแต่หยุดชีวิตตัวเองให้อยู่กับที่
ถ้าเป็นสมัยเรียนพวกเราจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ เสมอ
ฉันจะเอาเพลงใหม่ทั้งไทยและสากลมาเปิดที่ห้อง
แฟงจะขนซีดีมาอัพเดท
น้องนั่งฟังไปกับพวกเรา
นุกยึดซีดีกลับไปฟังที่บ้านตลอด
ศิลปินหน้าใหม่ที่ใครไม่ค่อยรู้จัก ใต้ดิน บนดิน เรารู้จักหมด
ถ้ามีคอนเสิร์ตมาที่มหาลัยพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ไปร้องเพลง เต้นระบำ บางทีเผลอรำฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน
คอนเสิร์ตฟรีอย่างนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูแล้ว
ยิ่งสมัยก่อนคณะดุริยางค์มักจะมีดนตรีมาแสดงให้ดูอยู่เรื่อยๆ
ทั้งคลาสสิก แจ๊ซ แสดงเดี่ยว แสดงเป็นวง
โรงละครยังได้ต้อนรับนักดนตรีและผู้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
บรรยากาศอบอุ่นอิ่มใจ

พอไปถึงงานคืนสู่เหย้าได้เจอเพื่อนเยอะแยะ
นั่งกินนั่งคุยกันไปเรื่อย
ในงานมีการประมูลของเพื่อนำเงินมาช่วยคณะ
มีโชว์ร้องเพลงประจำคณะให้ซึ้งใจกัน
ศิษย์เก่าขึ้นพูดคุยบนเวที

พวกเรานั่งดูอยู่ห่างๆ
(โต๊ะพวกเราห่างจริงๆ)
ประทับใจอยู่ห่างๆ
กิจกรรมและบรรยากาศสนุกสนานไปตามอัธยาศัย

คืนนั้นนุกขับรถพาพวกเรากลับบ้านด้วยรถคันเดิม
ความเป็นเพื่อนของเรายังคงเดิม
ฉันคิดอยู่เสมอว่าพวกเราเมื่อเติบโตขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างทีละเล็กทีละน้อย
ซึ่งพวกเราเฝ้ามองเวลานั้นอยู่อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่อาจไม่สามารถเปลี่ยนไป
แม้วันเวลาผ่านไปเท่าไร
อยู่ภายใต้พวงมาลัยของนุกในรถฮอนด้าแจ๊ซคันนี้
พวกเราทั้ง 4 คน เมื่อได้มาอยู่รวมกัน
ฉันเชื่อว่าสถานะของพวกเราจะคงเดิม
จังหวะในการพูดคุยและระยะห่างในเดินการจับมือกัน
อ้อมแขนที่โอบกอดกัน
จะยังคงอยู่

แม้เราแก่ตัวลง เมื่อดนตรีบรรเลง ฉันเชื่อว่าพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ร้องเพลง เต้นระบำ ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานเช่นเคย





1 comment:

วิภว์ บูรพาเดชะ said...

อืมม เขียนดีนี่น้อง :-)

...พี่กดดันเลย 5555