Saturday, July 28, 2007

รอยยิ้ม


เวลาที่ห่างไกลกับเด็กๆ ที่รัก

เราคิดคำนึงถึงสิ่งใดในตัวเขา


ความดีที่อยู่ภายใน

ความชื่นใจที่เขาเคยมอบให้

ขนมที่เขาชอบ

คำพูดที่ติดปาก


หรือ

คิดถึงเพียงรอยยิ้มที่ประทับอยู่บนใบหน้าของเขาเหล่านั้น


สำหรับฉัน


แม้ไม่ได้เจอเด็กๆ แค่ไม่กี่อาทิตย์

ก็คิดถึงพวกเขาจับใจ


ระลึกถึงทุกสิ่งที่พอนึกได้

นึกว่าป่านนี้จะสูงขึ้นแค่ไหนแล้ว

อยู่ที่บ้านจะคิดถึงเราบ้างไหมหนอ


นึกถึงสิ่งที่ตอบได้ยากทั้งนั้น


แต่พอได้แวะไปเจอที่โรงเรียน

พวกเขาตะโกนเรียกตามประสาคนรู้จักกัน

วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง


เราถามว่า "วันนี้เป็นเด็กดีไหม"


แน่นอนต้องตอบว่า "ครับ" กันเป็นแถว


ส่วนเรื่องจริง

....

จะให้เป็นเด็กดีทั้งวันคงเป็นไปไม่ได้


ตอนนั้นเลยรู้สึกได้จริงๆ ว่าเขาเองก็ดีใจที่ได้เจอเรา

รู้ได้จากน้ำเสียง


จากรอยยิ้ม
ยิ้มกว้าง

จริงใจ

และ

ใสซื่อ


ดีใจจริงๆ ที่ได้รับรอยยิ้มเหล่านั้นมาไว้ในความทรงจำ

ประสานเสียง



ตอนนี้มีเวลาดูการ์ตูนมากขึ้น


จะว่าไปเรามักมีเวลาให้กับการอ่านการ์ตูนอย่างสม่ำเสมอ


เพียงแต่ตอนนี้กำลังคลั่งไคล้ เคโรโระ ขบวนการ อ๊บ อ๊บ ป่วนโลก อย่างมาก

ไม่เท่านั้น ยังชวนพี่ชายมาบ้าด้วยกันอีกต่างหาก


ไม่แค่ตัวการ์ตูนที่น่ารักน่าชังเท่านั้น


เนื้อเรื่องยังสนุกตรงใจอีกต่างหาก
มุขแต่ละมุขเพี้ยนเข้ากับคนอย่างเราๆ จนนึกไม่ถึงว่าจะมีการ์ตูนตลกได้ใจอย่างนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นเสาร์อาทิตย์เลยต้องตื่นก่อน 9 โมงเช้ามาดูช่องทีไอทีวี
เหมือนเด็กๆ นั่งรอดูการ์ตูนเลย
ตอนนี้พี่บอลสั่งซื้อดีวีดีมาแล้ว
อีกไม่นานคงได้ดูเต็มอิ่ม ต่อเนื่อง
ก็ตอนเช้ามันมีแค่ 30 นาทีนี่นา
ยังไม่ทันหายอยากก็จบไป 2 ตอนแล้ว
ถ้าใครที่ชอบเคโรโระเหมือนกันก็เชิญมาประสานเสียงกันหน่อยนะ
เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร
.........

Monday, July 16, 2007

กลางวัน กลางคืน

กลางวัน กลางคืน
ต่างกันแค่คำเรียก

หรือต่างกันที่ความสว่าง ความมืด

ต่างกันที่กลางวันมีตะวันฉาย
กลางคืนมีดวงจันทร์ทอประกาย
...

ต่างกันเพราะความรู้สึก

กลางวันแกร่งกล้า แผดเผา
กลางคืนเยือกเย็น อ้างว้าง

หรือ

ตะวันมอบชีวิต
ดวงจันทร์มอบจิตวิญญาณ

สุดท้าย


ความต่างอาจคือสมดุล

ที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์
ทั้งมืด
ทั้งสว่าง
ทั้งอบอุ่น
ทั้งอ้างว้าง
ทั้งชีวิต
ทั้งจิตวิญญาณ
ทั้งพบพาน
และลาจาก
ถูกนำพามาด้วยกลางวัน กลางคืน

Thursday, July 12, 2007

ย่างก้าวที่ไร้ตัวตน

เงยหน้ามองทางเดินที่ทอดยาว
2 เท้าก้าวไปข้างหน้าพร้อมจุดมุ่งหมายในอนาคต
หากเมื่อไรลืมเลือน 2 ข้างทาง
ไม่แวะพักตามร่มไม้
ไม่ได้สูดดมกลิ่นดิน กลิ่นหญ้า
ไม่หยุดทักทายผู้คนที่เดินผ่าน
หากขาดเรื่องราวตามรายทาง
การก้าวเดินครั้งนี้คงไม่มีความหมาย
2 ข้างทางที่เดินผ่านมีเรื่องราวของสิ่งที่ฝังรากอยู่ที่นั่น
ผู้คนที่อยู่อาศัย
ตึกที่หยั่งเสาเข็มลึกลงไปในพื้นดิน
สถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเคารพ ชื่นชม บุคคล บรรจุเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ยุคสมัยต่างถูกบันทึกไว้ ณ จุดที่ก้าวผ่าน
ต้นไม้
ใบหญ้า
ท้องฟ้า
ภูเขา
ต้นไม้
สิ่งมีชีวิตที่สถิตย์อยู่
หายใจไปพร้อมๆ กับเรา
ครอบครัว
เพื่อนฝูง
คนรัก
ชีวิตของพวกเขาต่างมีจุดหมาย
ไม่ว่าเหมือนหรือต่างไป
เราต่างหายใจไปพร้อมๆ กัน
ทุกๆ ย่างก้าวบันทึกช่วงเวลาของชีวิตที่ใช้ลมหายใจร่วมกัน
วันที่ลมหายใจหมดลง อาจเป็นวันสิ้นสุดของการเดินทาง
ไร้ก้าวต่อไปของใครคนหนึ่ง
แต่อีกหลายสิ่งยังคงก้าวต่อไป
มีลมหายใจต่อไป
ดั่งเราไร้ตัวตน
แล้วความหมายของการเดินทางเล่า
การก้าวเดินต่อไปมีประโยชน์อันใด
สิ่งที่เคยบันทึกอยู่ในความทรงจำไร้ค่าหรือ
...
ความสุข
ความเศร้า
ความรัก
...
หรือความรู้สึกเหล่านี้ไร้ตัวตนเช่นเรา
....
คำตอบนั้นกระจ่างอยู่ในใจเราเอง

Monday, July 09, 2007

ฟากฟ้า



เมฆฝนลอยหายไปเบื้องหน้าแล้ว

เหลือเพียงเรายืนเท้าเปลือยเปล่าบนหาดทรายกว้าง



ฟ้าแม้ยังดูหนักหน่วงด้วยปุยเมฆ

แต่ยังมีลำแสงส่องผ่านให้เบาใจ


จริงอยู่แสงแดดคล้อยผ่านตามกาลเวลา


ไร้เรี่ยวแรงแผดเผาสิ่งใด

แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แสงแดดมอบให้

พลังใจที่อบอุ่นอ่อนหวาน ช่วยปลอบโยนกายที่เหนื่อยล้า


หากวันใดที่ฟ้าเปิด
สว่างสดใส
ปล่อยโอกาสให้แดดได้ส่องโดยสายตาไม่อาจสู้
เราจึงได้แต่ยอมแพ้
หาร่มเงาเพื่อหลีกทางให้แสงส่องแต่โดยสะดวก

หลังจากนี้เราคงคอยมองหาดวงดาวที่เข้ามาส่องประกายให้ฟากฟ้า
รอคอยรอยยิ้มในหัวใจของคนที่อาจเฝ้ามองดาวดวงเดียวกันกับเรา
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน
เราอาจอยากอยู่จนถึงรุ่งสาง
หาที่กำบังจากน้ำค้าง
หวังจะพบแสงแรกของวันบ้าง
ฟากฟ้าแบบไหนจึงเป็นที่ปรารถนา
อาจจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของหัวใจ
ที่จะกำหนดทิศทางของความรู้สึก
กำหนดภาพฉากที่ต้องการพบเจอ

สิ่งที่ทำได้

อาจเพียงต้องหลบหลีกจากความเคยชินเท่านั้น

จึงจะได้เห็นฟากฟ้าอย่างที่มันเป็น

Monday, July 02, 2007

No more monkey jumping on the bed

เพลงที่ใช้สอนเด็กอนุบาลจะเป็นเพลงน่ารักๆ ท่าเต้นน่ารักตามเนื้อเพลงเยอะ แต่ช่วงนี้เพลงที่มาแรงเป็นอันดับหนึ่งคือ No more monkey jumping on the bed
มีเนื้อร้องว่า 5 little monkeys jumping on the bed. 1 fell down and bumped his head. Mama called the doctor and the doctor said, “No more monkeys jumping on the bed.”

ระหว่างที่ร้องจะมีท่าประกอบไปด้วย ทุกคนชอบมากที่ในเนื้อเพลงมีการกระโดด พอถึงท่อนที่หมอบอกว่าห้ามลิงตัวไหนกระโดดบนเตียงอีกจะมีการเปลี่ยนเสียง เด็กทุกคนจะเปลี่ยนเสียงตามไปด้วย

ระหว่างที่ร้องจะวาดรูปให้ดูว่ามีลิงอยู่บนเตียง ค่อยๆ ตกเตียงไปทีละตัว ให้เขาหัดนับเลขพร้อมรู้ความหมายของเพลงไปด้วย ทำให้ไม่ว่าจะร้องเพลงนี้กี่ครั้งทุกคนจะให้วาดรูปไปด้วยตลอด
ช่วงหลังเริ่มคิดเปลี่ยนเนื้อเพลงให้เข้ากับพฤติกรรมของเด็กในห้องด้วย เพราะในห้องไม่มีเตียงให้ห้ามกระโดด แต่เด็กจะชอบยืนบนเก้าอี้หรือบนโต๊ะแล้วกระโดดลงมา เนื้อร้องจึงเปลี่ยนเป็น 5 little students jumping on the chair. 1 fell down and bumped his head. Ms.Tamera called the doctor and the doctor said, “No more students jumping on the chair.”

ไม่เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อร้องเท่านั้น เวลาวาดรูปยังมีเก้าอี้ 5 ตัว กับเด็ก 5 คนยืนอยู่บนเก้าอี้อีกด้วย รอบแรกถามก่อนว่าใครอยากกระโดดบนเก้าอี้บ้าง เด็กๆ ยกมือกันพรึบ มาร์คๆ เก๋าๆ ดีดี้ พิริยา ปอมด้วยนะ เอมด้วย อยากอยู่บนเก้าอี้กันใหญ่ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไง พอเริ่มร้องเพลงแล้วลบคนที่ตกเก้าอี้หัวโหม่งลงมาอยู่บนพื้นเด็กผู้หญิงเริ่มไม่สนุกแล้ว มาร์คกับเก๋ายังยืนงงๆ ที่ตัวเองลงไปอยู่ที่พื้นซะอย่างนั้น ร้องเพลงยังไม่ทันครบ 5 รอบ เด็กผู้หญิงก็บอกว่าไม่เอา อยากให้หนูตกลงมานะ หยุดได้แล้วไม่เอาแล้ว โวยวายจะไม่กระโดดลงมาหัวลงพื้นอย่างคนแรกๆ

ได้ผล หลังจากนั้นเด็กๆ ไม่ยืนบนเก้าอี้อีกเลย หรือถ้าหากมีใครเผลอยืนบนเก้าอี้เราแค่ร้องเพลงท่อนสุดท้ายว่า “No more students standing on the chair.” เท่านี้เขาก็จะลงมานั่งดีๆ ได้เอง ไม่ต้องคอยดุคอยว่าให้เหนื่อย