Friday, February 29, 2008

Jazz

เย็นวันนี้ฉันและเพื่อนทั้ง 4 คนนัดกันที่เซ็นทรัลเวิร์ดเพื่อจะได้ออกเดินทางไปงานคืนสู่เหย้าที่ทับแก้ว

ฉันถึงก่อนคนแรกพอดีรู้ว่ามีนิทรรศการภาพถ่าย 9 days in the kingdom จัดแสดงอยู่ที่ Zen เลยเข้าไปชมฆ่าเวลา
ในงานมีภาพถ่ายของศิลปิน 55 คน กับ 9 วันในเมืองไทย
หลายมุมของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถูกถ่ายทอดแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นที่ไหนมาก่อน
ช่วงเวลาที่กำลังเดินรอเพื่อนอยู่ในงานภาพถ่ายนี้กลายเป็น
จังหวะการรอคอยที่มหัศจรรย์
เหมือนเราเดินอยู่ในประเทศไทยที่ดูไม่เหมือนประเทศไทยเอาเสียเลย
ระหว่างที่กำลังตื่นเต้นกับภาพถ่ายนุกโทรเข้ามาว่าถึงเซ็นทรัลเวิร์ดแล้ว ฉันค่อยๆ เดินผ่านภาพแต่ละภาพโดยไม่วางตา
พยายามจะกลืนเอาอาณาจักรแห่งนี้ไปทั้งหมดในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด

แน่นอนว่านุกจะกลายเป็นคนขับรถจำเป็นในวันนี้
คนขับรถมาถึงแล้ว ผู้โดยสารคนหนึ่งคือ ฉัน มาถึงเหมือนกัน รออีก 2 สาวเท่านั้นเราก็จะสามารถออกเดินทางไปนครปฐมได้

พอแฟงกับน้องมาถึงเราทั้ง 4 คนเดินไปคุยกันไป
นึกไปถึงสมัยเรียน
สมัยที่ยังอยู่หอด้วยกัน
แม้แต่ละคนจะมีมุมที่เปลี่ยนแปลงกันไปบ้าง
แต่เมื่อทุกคนมาอยู่รวมกันบทสนทนาของเรามักนำพาไปในทิศทางเดิม

แฟงยังมีเหตุผลหลายแง่มุมสำหรับคำถามสักหนึ่งจากน้อง
นุกยังคงประนีประนอมเมื่อใครสักคนเริ่มทะเลาะกัน
ส่วนฉันมองไม่เห็นตัวเองว่ากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งไหนของกลุ่ม
ที่แน่ชัดคือฉันคือผู้รับฟังเสมอ

เราทั้ง 4 ก้าวขึ้นรถฮอนด้าแจ๊ซสีดำของนุก
ออกเดินทางด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น
เหมือนเด็กสาววางแผนไปเที่ยว

เดี๋ยวนี้กลุ่มเราเดินทางร่วมกันสม่ำเสมอ
บ้างนัดกันไปเที่ยวต่างจังหวัด
บ้างนัดกินข้าว
บ้างนัดดูมหรสพ ละครเวที คอนเสิร์ต แล้วแต่เทศกาล
แต่เราพยายามเจอกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไม่ใช่เพราะทำให้เป็นกฎกติกา
แต่เพราะเวลาจะไปไหนหรืออยากทำอะไรมักจะนึกถึงกันเสมอ

บนรถแฟงพยายามแต่งหน้าไปด้วย
ใครๆ ก็อยากสวยในงานคืนสู่เหย้า เราจะได้ไปเจอเพื่อน พี่ น้อง
ที่สำคัญแฟงเป็นถึงประธานเชียร์ คนรู้จักเยอะแยะ
โทรมไปเดี๋ยวจะแย่
น้องพยายามแต่งบ้างเหมือนกัน
ส่วนนุกมันคงแต่งมาตั้งแต่ออกจากบ้าน
ฉันขอยืมนู้นนี่มาปัดบ้างเพราะกลัวถ่ายรูปออกมาแล้วจะมองไม่เห็นหน้า

เพลงที่เปิดในรถเป็นเพลงสากลทันสมัย
ฉันไม่ได้ฟังเพลงใหม่ๆ นานแล้วตั้งแต่หยุดชีวิตตัวเองให้อยู่กับที่
ถ้าเป็นสมัยเรียนพวกเราจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ เสมอ
ฉันจะเอาเพลงใหม่ทั้งไทยและสากลมาเปิดที่ห้อง
แฟงจะขนซีดีมาอัพเดท
น้องนั่งฟังไปกับพวกเรา
นุกยึดซีดีกลับไปฟังที่บ้านตลอด
ศิลปินหน้าใหม่ที่ใครไม่ค่อยรู้จัก ใต้ดิน บนดิน เรารู้จักหมด
ถ้ามีคอนเสิร์ตมาที่มหาลัยพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ไปร้องเพลง เต้นระบำ บางทีเผลอรำฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน
คอนเสิร์ตฟรีอย่างนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูแล้ว
ยิ่งสมัยก่อนคณะดุริยางค์มักจะมีดนตรีมาแสดงให้ดูอยู่เรื่อยๆ
ทั้งคลาสสิก แจ๊ซ แสดงเดี่ยว แสดงเป็นวง
โรงละครยังได้ต้อนรับนักดนตรีและผู้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
บรรยากาศอบอุ่นอิ่มใจ

พอไปถึงงานคืนสู่เหย้าได้เจอเพื่อนเยอะแยะ
นั่งกินนั่งคุยกันไปเรื่อย
ในงานมีการประมูลของเพื่อนำเงินมาช่วยคณะ
มีโชว์ร้องเพลงประจำคณะให้ซึ้งใจกัน
ศิษย์เก่าขึ้นพูดคุยบนเวที

พวกเรานั่งดูอยู่ห่างๆ
(โต๊ะพวกเราห่างจริงๆ)
ประทับใจอยู่ห่างๆ
กิจกรรมและบรรยากาศสนุกสนานไปตามอัธยาศัย

คืนนั้นนุกขับรถพาพวกเรากลับบ้านด้วยรถคันเดิม
ความเป็นเพื่อนของเรายังคงเดิม
ฉันคิดอยู่เสมอว่าพวกเราเมื่อเติบโตขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างทีละเล็กทีละน้อย
ซึ่งพวกเราเฝ้ามองเวลานั้นอยู่อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่อาจไม่สามารถเปลี่ยนไป
แม้วันเวลาผ่านไปเท่าไร
อยู่ภายใต้พวงมาลัยของนุกในรถฮอนด้าแจ๊ซคันนี้
พวกเราทั้ง 4 คน เมื่อได้มาอยู่รวมกัน
ฉันเชื่อว่าสถานะของพวกเราจะคงเดิม
จังหวะในการพูดคุยและระยะห่างในเดินการจับมือกัน
อ้อมแขนที่โอบกอดกัน
จะยังคงอยู่

แม้เราแก่ตัวลง เมื่อดนตรีบรรเลง ฉันเชื่อว่าพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ร้องเพลง เต้นระบำ ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานเช่นเคย





Saturday, February 16, 2008

เช็คสเปียร์ ผู้สร้างตัวละครอมตะ

เมื่อวานได้ไปงาน Reminder Award 2007 ของรุ่นน้องมาค่ะ
ได้ไปเจออาจารย์หลายคนอีกครั้ง ทั้งคุยกันถ่ายรูปกันสนุกสนาน
ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยเรียนเคยเล่น แม้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่ยังนำมาใช้ได้เสมอคือเนื้อหาที่อาจารย์สอนไว้
ถึงตอนเรียนจะไม่ได้คิดถึงเรื่องการนำไปใช้สักเท่าไร แต่เมื่อเรียนจบออกมาทำงานแล้วกลับนำสิ่งที่เราเคยเรียนมาใช้ได้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา วิธีการวิเคราะห์ หรือวิธีในการเขียนหนังสือ (เพราะตอนเรียนต้องเขียนการบ้านส่งครูเยอะมาก)
ครั้งที่เรียนวิชา เช็คสเปียร์ เรียนด้วยความสนุกสนาน เรียกได้ว่าการเรียนละครเป็นความบันเทิงชนิดหนึ่งได้เลย
ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจะได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาในการเขียนงานส่งนิตยสาร Happening จริงๆ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับ วิลเลียม เช็คสเปียร์
วันนี้เลยลงเอาไว้เพื่อนึกถึงอดีตของตัวเอง รวมถึงบอกต่อเรื่องราวของเขาเผื่อว่าใครจะยังไม่เคยได้รับรู้ความสามารถของนักประพันธ์อมตะคนนี้

...

เช็คสเปียร์ ผู้สร้างตัวละครอมตะ

วิลเลียม เช็คสเปียร์ เป็นนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยพระนางเจ้าอลิซเบธที่ 1 แห่งประเทศอังกฤษ ปัจจุบันทั่วโลกรู้จักเขาในฐานะนักประพันธ์คนสำคัญของโลก

เขาเกิดวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1564 ในครอบครัวฐานะปานกลาง ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 และแต่งงานเมื่ออายุ 18 ปี เมื่อย้ายเข้ามาอยู่เมืองลอนดอนจึงเริ่มอาชีพเป็นนักแสดงตัวประกอบในโรงละครแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเขียนบทละครจนผลงานของเขาเป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบัน เช็คสเปียร์เสียชีวิตวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 อายุได้ 52 ปีเท่านั้น ในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ได้สร้างบทละครอมตะไว้อย่างน้อย 37 เรื่อง และบทกวีอีกมากกว่า 150 บท

บทละครของเขาล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้จะรู้สึกคุ้นหรือเหมือนเคยได้ยินชื่อละครของเขามาบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเข้าไปทำความรู้จักกับผลงานของเขาโดยตรง หลายคนแค่ได้ยินชื่อเช็คสเปียร์ก็หนาวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงบทละครภาษาอังกฤษที่แต่งเป็นกวีล้วนๆ (ซึ่งต่อให้แปลเป็นภาษาไทยก็ไม่คิดอ่าน) ได้เห็นความหนาของหนังสือพาลจะทำให้เป็นลม (ตามประสาคนรักการอ่านบ้านเรา) ดังนั้นถึงยังไม่เคยสัมผัสกับบทละครของเขาก็คงคิดไปต่างๆ นานาว่า ภาษาโบราณน่ากลัว บทกวีน่าเบื่อ หรือไม่ก็ปล่อยให้วรรณกรรมอมตะเป็นหน้าที่ของพวกคงแก่เรียนใช้ศึกษากันเท่านั้น
หารู้ไม่ว่าบทละครของเขาก้าวล้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าที่ทุกคนต้องผ่านหูมานานแล้ว หากนึกดูดีๆ จะรู้ว่าผลงานของเช็คสเปียร์ไม่ได้ห่างไกลจากการรับรู้ของเราเลย ทุกคนต้องเคยได้ยินเรื่องรักรันทดของโรมิโอและจูเลียต หรือ โศกนาฏกรรมของเจ้าชายแฮมเล็ตผู้โดดเดี่ยวมาบ้าง ละครของเช็คสเปียร์ไม่ได้จำกัดอยู่ในแวดวงของผู้ที่สนใจวรรณกรรมเท่านั้น หากแต่แพร่หลายอยู่ในหนังหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังที่สร้างตามบทประพันธ์ดั้งเดิมหรือหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทละครของเช็คสเปียร์

หนังที่นำบทละครมาสร้างมีมากมายหลายเวอร์ชั่น คนที่ได้ดู Romeo and Juliet (1996) เวอร์ชั่นที่ Leonado Di Caprio แสดงกับ Claire Danes คงจำกันได้ว่าหนังเรื่องนี้สนุกแค่ไหน เพราะผู้กำกับ Baz Luhrman นำความรักที่ก่ออยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของ 2 ตระกูลออกมาถ่ายทอดได้ร่วมสมัยถูกใจวัยรุ่น ในขณะที่ยังคงบทสนทนาที่เป็นบทกวีไว้เพื่อแสดงความเคารพต่อบทละครของเช็คสเปียร์ได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ ถ้าได้สังเกตดีๆ จะเห็นชื่อของสถานที่และสิ่งของต่างๆ ในเรื่องยังใช้ชื่อเดียวกับคน สถานที่ และสิ่งของในบทละคร แม้แต่ปืนที่ Romeo ใช้ในเรื่องยังมีคำว่า Sword ซึ่งหมายถึงดาบที่ตัวละครใช้ในบทดั้งเดิมสลักอยู่

ยังมีหนังที่นำพล็อตมาจากเรื่องนี้มาสร้างจนโด่งดังเช่นกันคือ West Side Story (1961) ที่ Natalie Wood แสดงกับ Richard Beymer แต่ปรับจากความขัดแย้งของตระกูล Capulet และ Montagueเป็นความขัดแย้งระหว่าง Puerto Rican และ White Gangs ในนิวยอร์คซิตี้แทน หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังเพลงสุดคลาสสิกอีกเรื่องหนึ่งที่คอหนังรู้จักกันดี

หนังเรื่อง O (2001) นำแสดงโดย Mekhi Phifer(Odin James), Josh Hartnett(Hugo Goulding), Andrew Keegan(Michael Cassio) และ Julia Stiles(Desi Brable) นำพล็อตมาจาก Othello มาทำให้เป็นเรื่องของวัยรุ่นนักบาสเก็ตบอลดาวรุ่งที่ถูกเพื่อนอิจฉาจนอนาคตถูกทำลายลงเพราะความหึงหวงในที่สุด
ปี 2000 มีการสร้างหนัง Hamlet เวอร์ชั่นใหม่ที่ใช้ฉากหลังเป็นมหานครนิวยอร์ค Ethan Hawke รับบท Hamlet ในเรื่องพ่อของเขาถูกอาแท้ๆ ของตัวเองฆาตกรรม Julia Stile รับบท Ophelia หญิงผู้เจ็บปวดเพราะความรักที่มีต่อ Hamlet จนต้องฆ่าตัวตายในที่สุด บทละครเดิม Hamlet นำละครที่เลียนแบบเหตุการณ์เหมือนกับที่อาฆ่าพ่อของเขามาแสดงให้คนดูเพื่อจับพิรุธของอา ส่วนในหนังเรื่องนี้ Hamlet ทำหนังสั้นมาฉายให้อาและแม่ของเขาดูเป็นการดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ส่วนชะตากรรมของตัวละครในเรื่องส่วนใหญ่ยังคงไว้เช่นเดิม

The Banquet (2006) ที่จางซิยี่เล่นก็มีพล็อตมาจากเรื่อง Hamlet เช่นกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นหนังจีนที่ตั้งชื่อตัวละครใหม่หมด แต่ในเนื้อเรื่องนั้นยังคงเดิม สิ่งที่หนังเรื่องนี้คงไว้คือวิธีการฆ่าจักรพรรดิองค์เก่าซึ่งเป็นพ่อของเจ้าชายอวู๋หลวนโดยการเป่ายาพิษเข้าไปในหูเหมือนพ่อของ Hamlet มีการเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องให้เฉลี่ยไปทางตัวละครฮองเฮาหวั่นที่จางซิยี่เล่นไปจากเจ้าชายอวู๋หลวน (Hamlet) ที่แดเนี่ยล วูเล่นบ้าง รวมถึงปรับความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ ให้ได้อารมณ์หนังตะวันออกยิ่งขึ้น จะเสียดายก็แต่เพียงตัวละครที่มีความสลับซับซ้อนอย่าง Hamlet ต้องถูกตัดทอนไป และแม้จะพยายามใส่ความซับซ้อนให้กับจางซิยี่แล้วก็ยังถือว่ามีน้ำหนักน้อยไปกว่าบทประพันธ์ดั้งเดิมนัก

เปลี่ยนมาพูดถึงหนังที่สร้างมาจากสุขนาฏกรรมบ้าง หนังวัยรุ่นเรื่อง 10 Things I Hate about You (1999) ที่แสดงโดย Julia Stiles และ Heather Ledge ก็นำพล็อตมาจากบทละครเรื่อง The Taming of the Shrew (แต่งประมาณปี 1593-1594) ซึ่งถ้าดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นหนังรักวัยรุ่นทั่วไปเท่านั้น
ล่าสุดหนังเรื่อง She’s the Man (2006) แสดงนำโดย Amanda Bynes(Viola), Chunning Tatum(Duke), Laura Ramsey(Olivia) และ James Kirk(Sabastian) ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทละครเรื่อง Twelfth Night (แต่งประมาณปี 1599-1600) ซึ่งแม้จุดเริ่มจะไม่เหมือนกับต้นฉบับที่ตัวนางเอกรอดชีวิตจากเรืออัปปางมาถึงชายฝั่งเมือง Illyria แต่ฉากเปิดของเรื่องเธอเล่นฟุตบอลอยู่บนชายหาดซึ่งมีสัญลักษณ์ห่วงยางช่วยชีวิตปรากฏอยู่ด้วย ส่วนโรงเรียนที่ Viola ไปสวมรอยแทนฝาแฝดมีชื่อว่า Illyria เหมือนกับชายฝั่งที่ปรากฏในเรื่อง Twelfth Night ที่ Viola รอดชีวิตจากเรืออัปปางไปอยู่ที่เมืองนั้น ส่วนชื่อร้านอาหาร Cesario ที่เหล่าวัยรุ่นไปรวมตัวกันในเรื่องนั้นเป็นชื่อเดียวกับนามแฝงที่ Viola ใช้ในการปลอมตัวเป็นผู้ชายในบทดั้งเดิม

ส่วนหนังเรื่อง Shakespeare in Love (1998) ที่ Ralph Fiennes(Shakespeare) และ Gwyneth Paltrow(Viola) แสดงนำนั้นเชื่อว่าใครหลายคนคงนึกสงสัยว่าเป็นชีวิตจริงของเช็คสเปียร์หรือเปล่า บอกได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้สร้างมาจากชีวิตจริงของเช็คสเปียร์แต่ได้นำส่วนประกอบในชีวิตของเขามาสร้างเป็นหนังเรื่องนี้

คนเขียนบทได้รับแรงบันดาลใจจากบทละครหลายเรื่องของเช็คสเปียร์ จึงพยายามตั้งสมมติฐานถึงที่มาของบทละครเรื่อง Romeo and Juliet ว่าเช็คสเปียร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งที่ชื่อ Viola (ซึ่ง Viola คือชื่อของตัวเอกในละครเรื่อง Twelfth Night นั่นเอง) คนเขียนบทนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบกันได้อย่างลงตัว จนคนดูหนังเรื่องนี้อาจเชื่อได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง รวมถึงยังมีการนำคนที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์เช่น Christopher Marlowe นักเขียนบทละครชื่อดังในสมัยนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่องอีกด้วย แสดงโดย Rupert Everett ในเรื่องเขาเป็นเพื่อนนักเขียนบทละครของ Shakespeare ที่ให้คำปรึกษาเรื่องชื่อละครที่เช็คสเปียร์กำลังแต่งอยู่จนได้เป็นชื่อ Romeo and Juliet ในที่สุด

วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์สิ้นลมไป 391 ปีแล้ว แต่ตัวละครของเขายังไม่ได้ตายจากไปพร้อมกับผู้ประพันธ์ คนหลายเชื้อชาติยังคงหยิบบทละครเวทีของเขามาสร้างให้คนได้ดูกันอยู่เรื่อยๆ บทละครถูกนำมาสร้างต่อและก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องในเวลาต่อมา ตัวละครที่เขาสร้างมีอายุต่อมาอีกกว่า 400 ปี ยิ่งไปกว่านั้นมีแนวโน้มว่าจะคงมีลมหายใจยาวนานต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของตัวละครไปบ้างแต่จิตวิญญาณของตัวละครที่เช็คสเปียร์สร้างยังคงประทับอยู่ไม่เสื่อมคลาย


ถ้าอยากจะลองหากหนังที่ดัดแปลงมาจากบทละครของเช็คสเปียร์ลองหาเรื่องเหล่านี้มาดูได้

- Forbidden Planet (1956) ดัดแปลงจากเรื่อง The Tempest กำกับโดย Fred M. Wilcox
- Throne of Blood และ The Castle of the Spider’s Web (1957) ดัดแปลงจากเรื่องMacbeth กำกับโดย Akira Kurosawa
- Valley Girl (1983) ดัดแปลงจากเรื่อง Romeo and Juliet กำกับโดย Martha Coolidge
- Ran (1985) ดัดแปลงจากเรื่อง King Lear กำกับโดย Akira Kurosawa


...

อันที่จริงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเช็คสเปียร์ยังมีอีกมาก เพราะตอนที่ได้เรียนวิชาของภาคภาษาอังกฤษนั้นได้อ่านบทประพันธ์ของเขาและรับรู้ความอัจฉริยะในด้านการประพันธ์ของเขาอย่างลึกซึ้ง จำได้ว่าตอนเรียนนั้นนับเป็นความประทับใจที่สุดวิชาหนึ่งทีเดียว
หากมีโอกาสอาจจะได้หยิบยกมาเล่าให้ฟังบ้าง สักประโยค 2 ประโยคก็ยังดี

Tuesday, February 12, 2008

เผชิญความเหงา


...
...
...
การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิต
กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับการปรับตัว
แต่เป็นเรื่องยากที่จะลดการสะเทือนใจ
...
นั่งเรือไปใจคิดถึงแต่ว่าจุดหมายที่เรากำลังไปถึงจะทำให้เรามีความสุขได้หรือเปล่า

ปัญหาที่ค้างคาใจบางครั้งสลัดได้ยากกว่าเวลาที่เราเผชิญหน้ากับมันโดยตรง


เวลาผ่านไป เมื่อถึงที่หมายจริงๆ กลับไม่คิดอะไรอีกแล้ว

ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพักผ่อนหย่อนใจลงในน้ำทะเลจนเปียกชุ่ม

ว่ายไปในมหาสมุทรที่มนุษย์สำรวจไม่ถึง

ดึงแขนที่เหนื่อยล้าของตัวเองปีนป่ายไปยังดวงดาวระยิบระยับที่เห็นไม่ได้ในเมืองใหญ่


ครั้นเมื่อหลับฝันไปกลับเห็นภาพที่ตัวเองจินตนาการขึ้น

ความคิดถึงโหยหาและกังวลหลอกหลอนให้น้ำตาไหลลงมาจนต้องปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน


หัวใจหล่นลง พร้อมกับถูกบีบรัด

เมื่อรู้ว่าจริงๆ แล้วจะไม่ได้เจอหน้ากันอีก

แม้ในฝันยังไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าเราจะต้องจากเขาไปจริงๆ
ยิ่งในฝันยังไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าเรารักพวกเขาเต็มหัวใจ
และเรากำลังทอดทิ้งเขาไปไกลห่าง
แม้สามารถกลับไปหา
ไปเจอหน้า
แต่ใจไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าปรารถนาชิดใกล้มากมายเพียงใด
โปรดเถิดน้ำทะเลใส
ช่วยชะล้างจิตใจให้คลายเหงา
ท้องฟ้าช่วยนำพาดวงดาว
มารักษาดวงใจทุกคนที่ต้องเผชิญกับความคิดถึง
ไม่ให้ปวดร้าวมากนัก
...
...
...
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเผชิญความเหงาที่แท้จริง
...

ขมจดจำ หวานจับใจ

งานเขียนชิ้นนี้เขียนเก็บไว้นานแล้วค่ะ เนื่องจากพี่ที่รู้จักกันขอให้เขียนมาลงนิตยสารแฟชั่นของเขาประกอบกับเรื่องราวของนางแบบ ผ่านไปประมาณปีกว่า รู้สึกว่าอยากหยิบมันขึ้นมาให้คนอื่นลองอ่านดูบ้าง

Bitter Sweet Memory

ตู้กระจกหน้าร้านขายขนมเต็มไปด้วยเด็กๆ ยืนเอาหน้าแนบกระจกร้าน พวกเขามองดูลูกกวาดหลากชนิด รวมถึงช็อกโกแลตห่อกระดาษที่จัดอยู่ภายในพลางชี้ให้เพื่อนดูว่ามีชิ้นไหนบ้างที่ตนอยากจับจอง
พวกเขาคงนึกว่าเอาหน้าแนบกระจกอย่างนั้นแล้วจะสามารถทะลุผ่านไปลิ้มรสขนมหวานได้กระมัง
เจ้าของร้านนึกสนุกอยากจะแกล้งเด็กเหล่านั้นบ้าง เขาค่อยๆ คลานหลบต่ำไปหน้าร้านเงียบๆ แล้วกระโดดแลบลิ้นหลอกเด็กๆ พวกนั้นจนตกใจวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง

เขาหัวเราะชอบใจที่แกล้งเด็กพวกนั้นสำเร็จกำลังหันหลังกลับไปหยิบผ้ามาเช็ดกระจกแต่ยังไม่ทันกลับหลังหันไป เขาเห็นหัวเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก้มต่ำอยู่ คงไม่ทันได้วิ่งหนีไปเหมือนเพื่อนๆ
เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่คนเดียว สงสัยไม่รู้ว่าเพื่อนๆ วิ่งหนีหายไปหมดแล้ว มือเล็กๆ ทั้งสองข้างปิดตาแน่นจนมองไม่เห็นหน้า รอยยิ้มพลันปรากฏอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มเจ้าของร้านอีกครั้ง

เขาเดินออกมาหน้าร้านเงียบๆ หวังจะแกล้งให้เด็กผู้หญิงสะดุ้งตกใจ ค่อยๆ เขยิบไปใกล้ทีละก้าว... ทีละก้าว... ทีละก้าว... เพื่อเข้าประชิดตัวเด็กผู้หญิงคนนั้น
บู้! “เฮ้ย” เขาหงายหลังล้มตึง
ให้ตายสิ กลับกลายเป็นเขาที่ตกใจเสียเอง เด็กผู้หญิงยิ้มกว้างหัวเราะคิกคักก่อนวิ่งออกไป เธอหันกลับมาโบกมือให้เขาทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น
เธอวิ่งไกลออกไปแล้ว ทิ้งให้ชายหนุ่มยังยืนตะลึงนิ่งอยู่ที่เดิมคนเดียว
“โดนเด็กเอาคืนจนได้” เขายิ้ม ในใจไม่ได้มีความโมโหเหมือนผู้ใหญ่คนอื่นที่มักรู้สึกเสียหน้าเวลาโดนเด็กแกล้ง ใบหน้าของเด็กคนนั้นยังประทับอยู่ในใจเขาแม้ในฝัน

..................

เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มลุกขึ้นมามีแรงบันดาลใจจัดร้านใหม่ ความฝันเมื่อคืนคล้ายกับจะมีเด็กผู้หญิงคนนั้นมาคอยช่วยทำขนมอยู่ข้างๆ เธอสูงไม่ถึงเอวเขาด้วยซ้ำแต่สามารถทำขนมได้คล้องแคล้วเหมือนผู้ใหญ่มืออาชีพ แต่นั่นเป็นภาพลางๆ เท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่ชัดเจนกว่าอยู่ตรงหน้า
ขนมหลายสีสันและรูปร่างใหม่ๆ ถูกนำมาจัดอวดโฉมอยู่หน้าร้าน ทำให้บรรยากาศสดใสขึ้นอีกมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกแจ่มใสตลอดเวลาที่นั่งเฝ้าอยู่ที่ร้านอยู่แล้วก็ตาม ยิ่งได้ทำขนมลูกกวาดสีใหม่ๆ นำมาวางแทนที่ขนมเดิมยิ่งทำให้รู้สึกร่าเริงเพิ่มขึ้นอีก
ระหว่างที่เขาวางขนมแต่ละชิ้นเขาจะรู้สึกถึงรสชาติของมันไปด้วย อมยิ้มสีรุ้งอันนี้เมื่ออมอยู่ในปากจะมีรสหวานในขณะเดียวกันยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดอยู่ในปากด้วย คนที่กินจะรู้สึกถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ยามฝนหยุดตกใหม่ๆ แน่นอนว่าสายรุ้งที่ทอดผ่านท้องฟ้าเป็นแรงบันดาลใจในการทำอมยิ้มชนิดนี้ สำหรับลูกกวาดเม็ดกลมหลากสีมาจากงานเทศกาลประจำปี ทั้งบนอาคารและต้นไม้ถูกประดับด้วยลูกโป่งหลายสี เหมือนลูกกวาดหลายเม็ดที่มีสีไม่ซ้ำกันอย่างนี้
สำหรับช็อกโกแลตรสขมเป็นสูตรที่พิเศษกว่าขนมหวานชิ้นอื่นๆ มันคือความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน

..................

นึกไปแล้วหน้าเธอเหมือนเด็กผู้หญิงคนเมื่อวาน ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง จมูกรั้น ตาดำกลมโต ผิดแค่ตรงใบหูของเธอที่กางน้อยกว่าเด็กคนนั้นสักหน่อย
หน้าร้อนเธอไม่กลัวที่เดินผ่านทางเดินที่มีร่มไม้ ทั้งๆ ที่ทุกคนเดินหลบอยู่ใต้ร่มตึกเท่านั้น หน้าฝนเธอคือคนที่ออกไปเล่นน้ำฝนไม่กลัวเป็นหวัดเลยสักนิด หน้าหนาวเราสองคนทำช็อกโกแลตร้อนกินให้ใจอุ่นอิงกัน ความทรงจำตอนนั้นเหมือนลูกกวาดและอมยิ้มหลากสีที่สร้างความร่าเริงให้เขาอยู่เสมอ
นั่นคือความโชคดีที่เกิดขึ้นในชีวิต ครั้งหนึ่งที่มีคนรัก ครั้งหนึ่งที่ความฝันอยู่ใกล้แค่เอื้อม หรือความสุขนิรันดร์ไม่ได้ยากเย็นเช่นใครคิด

..................

ที่จริงแล้ว... ความสุขนิรันดร์ได้มายากยิ่ง ความฝันสร้างความมุ่งมั่นให้ใจพุ่งไปยังจุดหมาย ในเมื่อความฝันของเธอต่างไป หัวใจของเธอจึงพุ่งไปทางนั้น
ช็อกโกแลตขมนี้จึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เราต่างแยกทางเดิน

..................

เด็กผู้หญิงคนเมื่อวานยืนอยู่หน้าร้านด้วยแววตาเป็นประกาย ชายหนุ่มมัวแต่นั่งนึกถึงอดีตของตัวเองจนลืมมองว่าเธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาในร้านแล้ว
“พี่ชายทำขนมแบบใหม่เหรอคะ”
เขาตกใจตื่น เปล่าหรอก เขาไม่ได้ตื่นจากฝัน หากแต่เขาตื่นจากอดีตที่มีเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนปลุก
เด็กผู้หญิงยื่นเหรียญทองให้เขาพร้อมกับชี้ไปที่ช็อกโกแลตขมที่ห่อด้วยกระดาษสีเงินผูกโบว์สีขาว
“ชิ้นนี้มีรสขมด้วยนะ หนูเป็นเด็กกินลูกกวาดดีกว่าไหม” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับแนะนำลูกกวาดสีสดใสข้างๆ วันนี้เธอและเขาเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้คิดเอาชนะด้วยการแกล้งอีกแล้ว
“หนูอยากกินชิ้นนี้นี่นา...” แววตาของเธอคลายความสดใสลงไป ก่อนที่ประกายนั้นจะกลับขึ้นมาใหม่พร้อมน้ำเสียงที่อ้อนวอนกึ่งรบเร้า “ถ้าอย่างนั้นหนูชิมก่อนได้ไหม ถ้าไม่อร่อยแล้วหนูจะซื้ออย่างอื่น หนูเอาอย่างอื่นกลับบ้านก็ได้แต่ต้องลองชิ้นนี้ก่อนนะ พี่ชายให้หนูชิมนะ” เพียงประโยคแรกเขาก็สิโรราบให้กับเธอแล้ว ใครจะยอมใจแข็งอยู่ได้เมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ ที่อ่อนหวานเช่นนี้ เขาตัดแบ่งช็อกโกแลตในถาดที่ยังไม่ได้ห่อให้เธอลองชิมก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะได้เห็นหน้ายู่ๆ ของเธอหลังจากได้ลิ้มรสขมเข้าไป
“อร่อยจัง...” ชายหนุ่มประหลาดใจที่เธอชอบรสชาติช็อกโกแลตแบบผู้ใหญ่นี้
เด็กมักจะชอบขนมหวานนี่นา หรือว่าเด็กคนนี้จะแกล้งบอกเพราะกลัวเสียฟอร์มกันแน่
เธอเงยหน้าขึ้นมามองเข้าด้วยความสงสัย “ไม่เห็นขมเลยนี่คะ ทำไมพี่ชายบอกว่าขม” ชายหนุ่มยิ่งสงสัย เขาตัดชิมคำหนึ่ง รสชาติหวานกลมกล่อมดั่งช็อกโกแลตร้อนที่เขาเคยดื่มกระจายทั่วลิ้น

..................

เขาเดินออกมาหน้าร้านส่งลูกค้าตัวน้อย เด็กผู้หญิงถือช็อกโกแลตในมือกึ่งเดินกึ่งกระโดดกลับบ้าน เธอหันมาโบกมือให้เขาก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป มันช่างดูเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของนักผจญภัยตัวน้อยจริงๆ
เจ้าของรอยยิ้มหวานจากไปแล้วแต่ในใจเขายังคงมีรสชาติความหอมหวานกรุ่นอยู่ไม่คลาย

..................

หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยทำช็อกโกแลตขมนั้นได้เป็นรสชาติเดิมไม่แปรเปลี่ยน แต่ทำไมวันนี้รสชาตินั้นถึงจางหายไป
มันกลายเป็นรสชาติใหม่ที่เขาเองอดรู้สึกชื่นชมมันไม่ได้
หรือเพราะเมื่อคืนในความฝัน เขามีเด็กผู้หญิงคนนี้อมยิ้มอยู่เคียงข้าง
เธอปลุกให้เขาสามารถลิ้มรสชาติแสนหวานของชีวิตได้บ้าง แม้ที่ผ่านมาความฝันของเขาจะปะปนไปด้วยความขมไม่จาง

ความหวานของรอยยิ้มและลักยิ้มบนใบหน้านั้นเพิ่มรสชาติในความทรงจำของเขาขึ้นอีกรสชาติหนึ่ง ซึ่งเมื่อเธอเดินผ่านบ้านใครต่อใคร เธอคงสร้างรสชาติใหม่ให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้เช่นกัน


.....................

โจทย์ของงานชิ้นนี้คือ ช็อกโกแลต ค่ะ พลางคิดถึงตัวเองที่ชอบกินช็อกโกแลตและบรรยายออกมาอย่างนี้
ถ้าใครมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับช็อกโกแลตลองมาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ