Friday, February 29, 2008

Jazz

เย็นวันนี้ฉันและเพื่อนทั้ง 4 คนนัดกันที่เซ็นทรัลเวิร์ดเพื่อจะได้ออกเดินทางไปงานคืนสู่เหย้าที่ทับแก้ว

ฉันถึงก่อนคนแรกพอดีรู้ว่ามีนิทรรศการภาพถ่าย 9 days in the kingdom จัดแสดงอยู่ที่ Zen เลยเข้าไปชมฆ่าเวลา
ในงานมีภาพถ่ายของศิลปิน 55 คน กับ 9 วันในเมืองไทย
หลายมุมของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถูกถ่ายทอดแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นที่ไหนมาก่อน
ช่วงเวลาที่กำลังเดินรอเพื่อนอยู่ในงานภาพถ่ายนี้กลายเป็น
จังหวะการรอคอยที่มหัศจรรย์
เหมือนเราเดินอยู่ในประเทศไทยที่ดูไม่เหมือนประเทศไทยเอาเสียเลย
ระหว่างที่กำลังตื่นเต้นกับภาพถ่ายนุกโทรเข้ามาว่าถึงเซ็นทรัลเวิร์ดแล้ว ฉันค่อยๆ เดินผ่านภาพแต่ละภาพโดยไม่วางตา
พยายามจะกลืนเอาอาณาจักรแห่งนี้ไปทั้งหมดในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด

แน่นอนว่านุกจะกลายเป็นคนขับรถจำเป็นในวันนี้
คนขับรถมาถึงแล้ว ผู้โดยสารคนหนึ่งคือ ฉัน มาถึงเหมือนกัน รออีก 2 สาวเท่านั้นเราก็จะสามารถออกเดินทางไปนครปฐมได้

พอแฟงกับน้องมาถึงเราทั้ง 4 คนเดินไปคุยกันไป
นึกไปถึงสมัยเรียน
สมัยที่ยังอยู่หอด้วยกัน
แม้แต่ละคนจะมีมุมที่เปลี่ยนแปลงกันไปบ้าง
แต่เมื่อทุกคนมาอยู่รวมกันบทสนทนาของเรามักนำพาไปในทิศทางเดิม

แฟงยังมีเหตุผลหลายแง่มุมสำหรับคำถามสักหนึ่งจากน้อง
นุกยังคงประนีประนอมเมื่อใครสักคนเริ่มทะเลาะกัน
ส่วนฉันมองไม่เห็นตัวเองว่ากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งไหนของกลุ่ม
ที่แน่ชัดคือฉันคือผู้รับฟังเสมอ

เราทั้ง 4 ก้าวขึ้นรถฮอนด้าแจ๊ซสีดำของนุก
ออกเดินทางด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น
เหมือนเด็กสาววางแผนไปเที่ยว

เดี๋ยวนี้กลุ่มเราเดินทางร่วมกันสม่ำเสมอ
บ้างนัดกันไปเที่ยวต่างจังหวัด
บ้างนัดกินข้าว
บ้างนัดดูมหรสพ ละครเวที คอนเสิร์ต แล้วแต่เทศกาล
แต่เราพยายามเจอกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไม่ใช่เพราะทำให้เป็นกฎกติกา
แต่เพราะเวลาจะไปไหนหรืออยากทำอะไรมักจะนึกถึงกันเสมอ

บนรถแฟงพยายามแต่งหน้าไปด้วย
ใครๆ ก็อยากสวยในงานคืนสู่เหย้า เราจะได้ไปเจอเพื่อน พี่ น้อง
ที่สำคัญแฟงเป็นถึงประธานเชียร์ คนรู้จักเยอะแยะ
โทรมไปเดี๋ยวจะแย่
น้องพยายามแต่งบ้างเหมือนกัน
ส่วนนุกมันคงแต่งมาตั้งแต่ออกจากบ้าน
ฉันขอยืมนู้นนี่มาปัดบ้างเพราะกลัวถ่ายรูปออกมาแล้วจะมองไม่เห็นหน้า

เพลงที่เปิดในรถเป็นเพลงสากลทันสมัย
ฉันไม่ได้ฟังเพลงใหม่ๆ นานแล้วตั้งแต่หยุดชีวิตตัวเองให้อยู่กับที่
ถ้าเป็นสมัยเรียนพวกเราจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ เสมอ
ฉันจะเอาเพลงใหม่ทั้งไทยและสากลมาเปิดที่ห้อง
แฟงจะขนซีดีมาอัพเดท
น้องนั่งฟังไปกับพวกเรา
นุกยึดซีดีกลับไปฟังที่บ้านตลอด
ศิลปินหน้าใหม่ที่ใครไม่ค่อยรู้จัก ใต้ดิน บนดิน เรารู้จักหมด
ถ้ามีคอนเสิร์ตมาที่มหาลัยพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ไปร้องเพลง เต้นระบำ บางทีเผลอรำฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน
คอนเสิร์ตฟรีอย่างนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูแล้ว
ยิ่งสมัยก่อนคณะดุริยางค์มักจะมีดนตรีมาแสดงให้ดูอยู่เรื่อยๆ
ทั้งคลาสสิก แจ๊ซ แสดงเดี่ยว แสดงเป็นวง
โรงละครยังได้ต้อนรับนักดนตรีและผู้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
บรรยากาศอบอุ่นอิ่มใจ

พอไปถึงงานคืนสู่เหย้าได้เจอเพื่อนเยอะแยะ
นั่งกินนั่งคุยกันไปเรื่อย
ในงานมีการประมูลของเพื่อนำเงินมาช่วยคณะ
มีโชว์ร้องเพลงประจำคณะให้ซึ้งใจกัน
ศิษย์เก่าขึ้นพูดคุยบนเวที

พวกเรานั่งดูอยู่ห่างๆ
(โต๊ะพวกเราห่างจริงๆ)
ประทับใจอยู่ห่างๆ
กิจกรรมและบรรยากาศสนุกสนานไปตามอัธยาศัย

คืนนั้นนุกขับรถพาพวกเรากลับบ้านด้วยรถคันเดิม
ความเป็นเพื่อนของเรายังคงเดิม
ฉันคิดอยู่เสมอว่าพวกเราเมื่อเติบโตขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างทีละเล็กทีละน้อย
ซึ่งพวกเราเฝ้ามองเวลานั้นอยู่อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่อาจไม่สามารถเปลี่ยนไป
แม้วันเวลาผ่านไปเท่าไร
อยู่ภายใต้พวงมาลัยของนุกในรถฮอนด้าแจ๊ซคันนี้
พวกเราทั้ง 4 คน เมื่อได้มาอยู่รวมกัน
ฉันเชื่อว่าสถานะของพวกเราจะคงเดิม
จังหวะในการพูดคุยและระยะห่างในเดินการจับมือกัน
อ้อมแขนที่โอบกอดกัน
จะยังคงอยู่

แม้เราแก่ตัวลง เมื่อดนตรีบรรเลง ฉันเชื่อว่าพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ร้องเพลง เต้นระบำ ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานเช่นเคย





Saturday, February 16, 2008

เช็คสเปียร์ ผู้สร้างตัวละครอมตะ

เมื่อวานได้ไปงาน Reminder Award 2007 ของรุ่นน้องมาค่ะ
ได้ไปเจออาจารย์หลายคนอีกครั้ง ทั้งคุยกันถ่ายรูปกันสนุกสนาน
ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยเรียนเคยเล่น แม้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่ยังนำมาใช้ได้เสมอคือเนื้อหาที่อาจารย์สอนไว้
ถึงตอนเรียนจะไม่ได้คิดถึงเรื่องการนำไปใช้สักเท่าไร แต่เมื่อเรียนจบออกมาทำงานแล้วกลับนำสิ่งที่เราเคยเรียนมาใช้ได้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา วิธีการวิเคราะห์ หรือวิธีในการเขียนหนังสือ (เพราะตอนเรียนต้องเขียนการบ้านส่งครูเยอะมาก)
ครั้งที่เรียนวิชา เช็คสเปียร์ เรียนด้วยความสนุกสนาน เรียกได้ว่าการเรียนละครเป็นความบันเทิงชนิดหนึ่งได้เลย
ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจะได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาในการเขียนงานส่งนิตยสาร Happening จริงๆ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับ วิลเลียม เช็คสเปียร์
วันนี้เลยลงเอาไว้เพื่อนึกถึงอดีตของตัวเอง รวมถึงบอกต่อเรื่องราวของเขาเผื่อว่าใครจะยังไม่เคยได้รับรู้ความสามารถของนักประพันธ์อมตะคนนี้

...

เช็คสเปียร์ ผู้สร้างตัวละครอมตะ

วิลเลียม เช็คสเปียร์ เป็นนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยพระนางเจ้าอลิซเบธที่ 1 แห่งประเทศอังกฤษ ปัจจุบันทั่วโลกรู้จักเขาในฐานะนักประพันธ์คนสำคัญของโลก

เขาเกิดวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1564 ในครอบครัวฐานะปานกลาง ออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 และแต่งงานเมื่ออายุ 18 ปี เมื่อย้ายเข้ามาอยู่เมืองลอนดอนจึงเริ่มอาชีพเป็นนักแสดงตัวประกอบในโรงละครแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเขียนบทละครจนผลงานของเขาเป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบัน เช็คสเปียร์เสียชีวิตวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 อายุได้ 52 ปีเท่านั้น ในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ได้สร้างบทละครอมตะไว้อย่างน้อย 37 เรื่อง และบทกวีอีกมากกว่า 150 บท

บทละครของเขาล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้จะรู้สึกคุ้นหรือเหมือนเคยได้ยินชื่อละครของเขามาบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะกล้าเข้าไปทำความรู้จักกับผลงานของเขาโดยตรง หลายคนแค่ได้ยินชื่อเช็คสเปียร์ก็หนาวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงบทละครภาษาอังกฤษที่แต่งเป็นกวีล้วนๆ (ซึ่งต่อให้แปลเป็นภาษาไทยก็ไม่คิดอ่าน) ได้เห็นความหนาของหนังสือพาลจะทำให้เป็นลม (ตามประสาคนรักการอ่านบ้านเรา) ดังนั้นถึงยังไม่เคยสัมผัสกับบทละครของเขาก็คงคิดไปต่างๆ นานาว่า ภาษาโบราณน่ากลัว บทกวีน่าเบื่อ หรือไม่ก็ปล่อยให้วรรณกรรมอมตะเป็นหน้าที่ของพวกคงแก่เรียนใช้ศึกษากันเท่านั้น
หารู้ไม่ว่าบทละครของเขาก้าวล้ำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าที่ทุกคนต้องผ่านหูมานานแล้ว หากนึกดูดีๆ จะรู้ว่าผลงานของเช็คสเปียร์ไม่ได้ห่างไกลจากการรับรู้ของเราเลย ทุกคนต้องเคยได้ยินเรื่องรักรันทดของโรมิโอและจูเลียต หรือ โศกนาฏกรรมของเจ้าชายแฮมเล็ตผู้โดดเดี่ยวมาบ้าง ละครของเช็คสเปียร์ไม่ได้จำกัดอยู่ในแวดวงของผู้ที่สนใจวรรณกรรมเท่านั้น หากแต่แพร่หลายอยู่ในหนังหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังที่สร้างตามบทประพันธ์ดั้งเดิมหรือหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทละครของเช็คสเปียร์

หนังที่นำบทละครมาสร้างมีมากมายหลายเวอร์ชั่น คนที่ได้ดู Romeo and Juliet (1996) เวอร์ชั่นที่ Leonado Di Caprio แสดงกับ Claire Danes คงจำกันได้ว่าหนังเรื่องนี้สนุกแค่ไหน เพราะผู้กำกับ Baz Luhrman นำความรักที่ก่ออยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของ 2 ตระกูลออกมาถ่ายทอดได้ร่วมสมัยถูกใจวัยรุ่น ในขณะที่ยังคงบทสนทนาที่เป็นบทกวีไว้เพื่อแสดงความเคารพต่อบทละครของเช็คสเปียร์ได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ ถ้าได้สังเกตดีๆ จะเห็นชื่อของสถานที่และสิ่งของต่างๆ ในเรื่องยังใช้ชื่อเดียวกับคน สถานที่ และสิ่งของในบทละคร แม้แต่ปืนที่ Romeo ใช้ในเรื่องยังมีคำว่า Sword ซึ่งหมายถึงดาบที่ตัวละครใช้ในบทดั้งเดิมสลักอยู่

ยังมีหนังที่นำพล็อตมาจากเรื่องนี้มาสร้างจนโด่งดังเช่นกันคือ West Side Story (1961) ที่ Natalie Wood แสดงกับ Richard Beymer แต่ปรับจากความขัดแย้งของตระกูล Capulet และ Montagueเป็นความขัดแย้งระหว่าง Puerto Rican และ White Gangs ในนิวยอร์คซิตี้แทน หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังเพลงสุดคลาสสิกอีกเรื่องหนึ่งที่คอหนังรู้จักกันดี

หนังเรื่อง O (2001) นำแสดงโดย Mekhi Phifer(Odin James), Josh Hartnett(Hugo Goulding), Andrew Keegan(Michael Cassio) และ Julia Stiles(Desi Brable) นำพล็อตมาจาก Othello มาทำให้เป็นเรื่องของวัยรุ่นนักบาสเก็ตบอลดาวรุ่งที่ถูกเพื่อนอิจฉาจนอนาคตถูกทำลายลงเพราะความหึงหวงในที่สุด
ปี 2000 มีการสร้างหนัง Hamlet เวอร์ชั่นใหม่ที่ใช้ฉากหลังเป็นมหานครนิวยอร์ค Ethan Hawke รับบท Hamlet ในเรื่องพ่อของเขาถูกอาแท้ๆ ของตัวเองฆาตกรรม Julia Stile รับบท Ophelia หญิงผู้เจ็บปวดเพราะความรักที่มีต่อ Hamlet จนต้องฆ่าตัวตายในที่สุด บทละครเดิม Hamlet นำละครที่เลียนแบบเหตุการณ์เหมือนกับที่อาฆ่าพ่อของเขามาแสดงให้คนดูเพื่อจับพิรุธของอา ส่วนในหนังเรื่องนี้ Hamlet ทำหนังสั้นมาฉายให้อาและแม่ของเขาดูเป็นการดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ส่วนชะตากรรมของตัวละครในเรื่องส่วนใหญ่ยังคงไว้เช่นเดิม

The Banquet (2006) ที่จางซิยี่เล่นก็มีพล็อตมาจากเรื่อง Hamlet เช่นกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นหนังจีนที่ตั้งชื่อตัวละครใหม่หมด แต่ในเนื้อเรื่องนั้นยังคงเดิม สิ่งที่หนังเรื่องนี้คงไว้คือวิธีการฆ่าจักรพรรดิองค์เก่าซึ่งเป็นพ่อของเจ้าชายอวู๋หลวนโดยการเป่ายาพิษเข้าไปในหูเหมือนพ่อของ Hamlet มีการเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องให้เฉลี่ยไปทางตัวละครฮองเฮาหวั่นที่จางซิยี่เล่นไปจากเจ้าชายอวู๋หลวน (Hamlet) ที่แดเนี่ยล วูเล่นบ้าง รวมถึงปรับความสัมพันธ์ของตัวละครต่างๆ ให้ได้อารมณ์หนังตะวันออกยิ่งขึ้น จะเสียดายก็แต่เพียงตัวละครที่มีความสลับซับซ้อนอย่าง Hamlet ต้องถูกตัดทอนไป และแม้จะพยายามใส่ความซับซ้อนให้กับจางซิยี่แล้วก็ยังถือว่ามีน้ำหนักน้อยไปกว่าบทประพันธ์ดั้งเดิมนัก

เปลี่ยนมาพูดถึงหนังที่สร้างมาจากสุขนาฏกรรมบ้าง หนังวัยรุ่นเรื่อง 10 Things I Hate about You (1999) ที่แสดงโดย Julia Stiles และ Heather Ledge ก็นำพล็อตมาจากบทละครเรื่อง The Taming of the Shrew (แต่งประมาณปี 1593-1594) ซึ่งถ้าดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นหนังรักวัยรุ่นทั่วไปเท่านั้น
ล่าสุดหนังเรื่อง She’s the Man (2006) แสดงนำโดย Amanda Bynes(Viola), Chunning Tatum(Duke), Laura Ramsey(Olivia) และ James Kirk(Sabastian) ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทละครเรื่อง Twelfth Night (แต่งประมาณปี 1599-1600) ซึ่งแม้จุดเริ่มจะไม่เหมือนกับต้นฉบับที่ตัวนางเอกรอดชีวิตจากเรืออัปปางมาถึงชายฝั่งเมือง Illyria แต่ฉากเปิดของเรื่องเธอเล่นฟุตบอลอยู่บนชายหาดซึ่งมีสัญลักษณ์ห่วงยางช่วยชีวิตปรากฏอยู่ด้วย ส่วนโรงเรียนที่ Viola ไปสวมรอยแทนฝาแฝดมีชื่อว่า Illyria เหมือนกับชายฝั่งที่ปรากฏในเรื่อง Twelfth Night ที่ Viola รอดชีวิตจากเรืออัปปางไปอยู่ที่เมืองนั้น ส่วนชื่อร้านอาหาร Cesario ที่เหล่าวัยรุ่นไปรวมตัวกันในเรื่องนั้นเป็นชื่อเดียวกับนามแฝงที่ Viola ใช้ในการปลอมตัวเป็นผู้ชายในบทดั้งเดิม

ส่วนหนังเรื่อง Shakespeare in Love (1998) ที่ Ralph Fiennes(Shakespeare) และ Gwyneth Paltrow(Viola) แสดงนำนั้นเชื่อว่าใครหลายคนคงนึกสงสัยว่าเป็นชีวิตจริงของเช็คสเปียร์หรือเปล่า บอกได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้สร้างมาจากชีวิตจริงของเช็คสเปียร์แต่ได้นำส่วนประกอบในชีวิตของเขามาสร้างเป็นหนังเรื่องนี้

คนเขียนบทได้รับแรงบันดาลใจจากบทละครหลายเรื่องของเช็คสเปียร์ จึงพยายามตั้งสมมติฐานถึงที่มาของบทละครเรื่อง Romeo and Juliet ว่าเช็คสเปียร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งที่ชื่อ Viola (ซึ่ง Viola คือชื่อของตัวเอกในละครเรื่อง Twelfth Night นั่นเอง) คนเขียนบทนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบกันได้อย่างลงตัว จนคนดูหนังเรื่องนี้อาจเชื่อได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง รวมถึงยังมีการนำคนที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์เช่น Christopher Marlowe นักเขียนบทละครชื่อดังในสมัยนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่องอีกด้วย แสดงโดย Rupert Everett ในเรื่องเขาเป็นเพื่อนนักเขียนบทละครของ Shakespeare ที่ให้คำปรึกษาเรื่องชื่อละครที่เช็คสเปียร์กำลังแต่งอยู่จนได้เป็นชื่อ Romeo and Juliet ในที่สุด

วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์สิ้นลมไป 391 ปีแล้ว แต่ตัวละครของเขายังไม่ได้ตายจากไปพร้อมกับผู้ประพันธ์ คนหลายเชื้อชาติยังคงหยิบบทละครเวทีของเขามาสร้างให้คนได้ดูกันอยู่เรื่อยๆ บทละครถูกนำมาสร้างต่อและก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องในเวลาต่อมา ตัวละครที่เขาสร้างมีอายุต่อมาอีกกว่า 400 ปี ยิ่งไปกว่านั้นมีแนวโน้มว่าจะคงมีลมหายใจยาวนานต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของตัวละครไปบ้างแต่จิตวิญญาณของตัวละครที่เช็คสเปียร์สร้างยังคงประทับอยู่ไม่เสื่อมคลาย


ถ้าอยากจะลองหากหนังที่ดัดแปลงมาจากบทละครของเช็คสเปียร์ลองหาเรื่องเหล่านี้มาดูได้

- Forbidden Planet (1956) ดัดแปลงจากเรื่อง The Tempest กำกับโดย Fred M. Wilcox
- Throne of Blood และ The Castle of the Spider’s Web (1957) ดัดแปลงจากเรื่องMacbeth กำกับโดย Akira Kurosawa
- Valley Girl (1983) ดัดแปลงจากเรื่อง Romeo and Juliet กำกับโดย Martha Coolidge
- Ran (1985) ดัดแปลงจากเรื่อง King Lear กำกับโดย Akira Kurosawa


...

อันที่จริงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเช็คสเปียร์ยังมีอีกมาก เพราะตอนที่ได้เรียนวิชาของภาคภาษาอังกฤษนั้นได้อ่านบทประพันธ์ของเขาและรับรู้ความอัจฉริยะในด้านการประพันธ์ของเขาอย่างลึกซึ้ง จำได้ว่าตอนเรียนนั้นนับเป็นความประทับใจที่สุดวิชาหนึ่งทีเดียว
หากมีโอกาสอาจจะได้หยิบยกมาเล่าให้ฟังบ้าง สักประโยค 2 ประโยคก็ยังดี

Tuesday, February 12, 2008

เผชิญความเหงา


...
...
...
การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิต
กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับการปรับตัว
แต่เป็นเรื่องยากที่จะลดการสะเทือนใจ
...
นั่งเรือไปใจคิดถึงแต่ว่าจุดหมายที่เรากำลังไปถึงจะทำให้เรามีความสุขได้หรือเปล่า

ปัญหาที่ค้างคาใจบางครั้งสลัดได้ยากกว่าเวลาที่เราเผชิญหน้ากับมันโดยตรง


เวลาผ่านไป เมื่อถึงที่หมายจริงๆ กลับไม่คิดอะไรอีกแล้ว

ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพักผ่อนหย่อนใจลงในน้ำทะเลจนเปียกชุ่ม

ว่ายไปในมหาสมุทรที่มนุษย์สำรวจไม่ถึง

ดึงแขนที่เหนื่อยล้าของตัวเองปีนป่ายไปยังดวงดาวระยิบระยับที่เห็นไม่ได้ในเมืองใหญ่


ครั้นเมื่อหลับฝันไปกลับเห็นภาพที่ตัวเองจินตนาการขึ้น

ความคิดถึงโหยหาและกังวลหลอกหลอนให้น้ำตาไหลลงมาจนต้องปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน


หัวใจหล่นลง พร้อมกับถูกบีบรัด

เมื่อรู้ว่าจริงๆ แล้วจะไม่ได้เจอหน้ากันอีก

แม้ในฝันยังไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าเราจะต้องจากเขาไปจริงๆ
ยิ่งในฝันยังไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าเรารักพวกเขาเต็มหัวใจ
และเรากำลังทอดทิ้งเขาไปไกลห่าง
แม้สามารถกลับไปหา
ไปเจอหน้า
แต่ใจไม่สามารถโกหกตัวเองได้ว่าปรารถนาชิดใกล้มากมายเพียงใด
โปรดเถิดน้ำทะเลใส
ช่วยชะล้างจิตใจให้คลายเหงา
ท้องฟ้าช่วยนำพาดวงดาว
มารักษาดวงใจทุกคนที่ต้องเผชิญกับความคิดถึง
ไม่ให้ปวดร้าวมากนัก
...
...
...
ถึงเวลาแล้วที่ต้องเผชิญความเหงาที่แท้จริง
...

ขมจดจำ หวานจับใจ

งานเขียนชิ้นนี้เขียนเก็บไว้นานแล้วค่ะ เนื่องจากพี่ที่รู้จักกันขอให้เขียนมาลงนิตยสารแฟชั่นของเขาประกอบกับเรื่องราวของนางแบบ ผ่านไปประมาณปีกว่า รู้สึกว่าอยากหยิบมันขึ้นมาให้คนอื่นลองอ่านดูบ้าง

Bitter Sweet Memory

ตู้กระจกหน้าร้านขายขนมเต็มไปด้วยเด็กๆ ยืนเอาหน้าแนบกระจกร้าน พวกเขามองดูลูกกวาดหลากชนิด รวมถึงช็อกโกแลตห่อกระดาษที่จัดอยู่ภายในพลางชี้ให้เพื่อนดูว่ามีชิ้นไหนบ้างที่ตนอยากจับจอง
พวกเขาคงนึกว่าเอาหน้าแนบกระจกอย่างนั้นแล้วจะสามารถทะลุผ่านไปลิ้มรสขนมหวานได้กระมัง
เจ้าของร้านนึกสนุกอยากจะแกล้งเด็กเหล่านั้นบ้าง เขาค่อยๆ คลานหลบต่ำไปหน้าร้านเงียบๆ แล้วกระโดดแลบลิ้นหลอกเด็กๆ พวกนั้นจนตกใจวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง

เขาหัวเราะชอบใจที่แกล้งเด็กพวกนั้นสำเร็จกำลังหันหลังกลับไปหยิบผ้ามาเช็ดกระจกแต่ยังไม่ทันกลับหลังหันไป เขาเห็นหัวเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก้มต่ำอยู่ คงไม่ทันได้วิ่งหนีไปเหมือนเพื่อนๆ
เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่คนเดียว สงสัยไม่รู้ว่าเพื่อนๆ วิ่งหนีหายไปหมดแล้ว มือเล็กๆ ทั้งสองข้างปิดตาแน่นจนมองไม่เห็นหน้า รอยยิ้มพลันปรากฏอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มเจ้าของร้านอีกครั้ง

เขาเดินออกมาหน้าร้านเงียบๆ หวังจะแกล้งให้เด็กผู้หญิงสะดุ้งตกใจ ค่อยๆ เขยิบไปใกล้ทีละก้าว... ทีละก้าว... ทีละก้าว... เพื่อเข้าประชิดตัวเด็กผู้หญิงคนนั้น
บู้! “เฮ้ย” เขาหงายหลังล้มตึง
ให้ตายสิ กลับกลายเป็นเขาที่ตกใจเสียเอง เด็กผู้หญิงยิ้มกว้างหัวเราะคิกคักก่อนวิ่งออกไป เธอหันกลับมาโบกมือให้เขาทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น
เธอวิ่งไกลออกไปแล้ว ทิ้งให้ชายหนุ่มยังยืนตะลึงนิ่งอยู่ที่เดิมคนเดียว
“โดนเด็กเอาคืนจนได้” เขายิ้ม ในใจไม่ได้มีความโมโหเหมือนผู้ใหญ่คนอื่นที่มักรู้สึกเสียหน้าเวลาโดนเด็กแกล้ง ใบหน้าของเด็กคนนั้นยังประทับอยู่ในใจเขาแม้ในฝัน

..................

เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มลุกขึ้นมามีแรงบันดาลใจจัดร้านใหม่ ความฝันเมื่อคืนคล้ายกับจะมีเด็กผู้หญิงคนนั้นมาคอยช่วยทำขนมอยู่ข้างๆ เธอสูงไม่ถึงเอวเขาด้วยซ้ำแต่สามารถทำขนมได้คล้องแคล้วเหมือนผู้ใหญ่มืออาชีพ แต่นั่นเป็นภาพลางๆ เท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่ชัดเจนกว่าอยู่ตรงหน้า
ขนมหลายสีสันและรูปร่างใหม่ๆ ถูกนำมาจัดอวดโฉมอยู่หน้าร้าน ทำให้บรรยากาศสดใสขึ้นอีกมาก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกแจ่มใสตลอดเวลาที่นั่งเฝ้าอยู่ที่ร้านอยู่แล้วก็ตาม ยิ่งได้ทำขนมลูกกวาดสีใหม่ๆ นำมาวางแทนที่ขนมเดิมยิ่งทำให้รู้สึกร่าเริงเพิ่มขึ้นอีก
ระหว่างที่เขาวางขนมแต่ละชิ้นเขาจะรู้สึกถึงรสชาติของมันไปด้วย อมยิ้มสีรุ้งอันนี้เมื่ออมอยู่ในปากจะมีรสหวานในขณะเดียวกันยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดอยู่ในปากด้วย คนที่กินจะรู้สึกถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ยามฝนหยุดตกใหม่ๆ แน่นอนว่าสายรุ้งที่ทอดผ่านท้องฟ้าเป็นแรงบันดาลใจในการทำอมยิ้มชนิดนี้ สำหรับลูกกวาดเม็ดกลมหลากสีมาจากงานเทศกาลประจำปี ทั้งบนอาคารและต้นไม้ถูกประดับด้วยลูกโป่งหลายสี เหมือนลูกกวาดหลายเม็ดที่มีสีไม่ซ้ำกันอย่างนี้
สำหรับช็อกโกแลตรสขมเป็นสูตรที่พิเศษกว่าขนมหวานชิ้นอื่นๆ มันคือความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน

..................

นึกไปแล้วหน้าเธอเหมือนเด็กผู้หญิงคนเมื่อวาน ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง จมูกรั้น ตาดำกลมโต ผิดแค่ตรงใบหูของเธอที่กางน้อยกว่าเด็กคนนั้นสักหน่อย
หน้าร้อนเธอไม่กลัวที่เดินผ่านทางเดินที่มีร่มไม้ ทั้งๆ ที่ทุกคนเดินหลบอยู่ใต้ร่มตึกเท่านั้น หน้าฝนเธอคือคนที่ออกไปเล่นน้ำฝนไม่กลัวเป็นหวัดเลยสักนิด หน้าหนาวเราสองคนทำช็อกโกแลตร้อนกินให้ใจอุ่นอิงกัน ความทรงจำตอนนั้นเหมือนลูกกวาดและอมยิ้มหลากสีที่สร้างความร่าเริงให้เขาอยู่เสมอ
นั่นคือความโชคดีที่เกิดขึ้นในชีวิต ครั้งหนึ่งที่มีคนรัก ครั้งหนึ่งที่ความฝันอยู่ใกล้แค่เอื้อม หรือความสุขนิรันดร์ไม่ได้ยากเย็นเช่นใครคิด

..................

ที่จริงแล้ว... ความสุขนิรันดร์ได้มายากยิ่ง ความฝันสร้างความมุ่งมั่นให้ใจพุ่งไปยังจุดหมาย ในเมื่อความฝันของเธอต่างไป หัวใจของเธอจึงพุ่งไปทางนั้น
ช็อกโกแลตขมนี้จึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เราต่างแยกทางเดิน

..................

เด็กผู้หญิงคนเมื่อวานยืนอยู่หน้าร้านด้วยแววตาเป็นประกาย ชายหนุ่มมัวแต่นั่งนึกถึงอดีตของตัวเองจนลืมมองว่าเธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาในร้านแล้ว
“พี่ชายทำขนมแบบใหม่เหรอคะ”
เขาตกใจตื่น เปล่าหรอก เขาไม่ได้ตื่นจากฝัน หากแต่เขาตื่นจากอดีตที่มีเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนปลุก
เด็กผู้หญิงยื่นเหรียญทองให้เขาพร้อมกับชี้ไปที่ช็อกโกแลตขมที่ห่อด้วยกระดาษสีเงินผูกโบว์สีขาว
“ชิ้นนี้มีรสขมด้วยนะ หนูเป็นเด็กกินลูกกวาดดีกว่าไหม” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับแนะนำลูกกวาดสีสดใสข้างๆ วันนี้เธอและเขาเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้คิดเอาชนะด้วยการแกล้งอีกแล้ว
“หนูอยากกินชิ้นนี้นี่นา...” แววตาของเธอคลายความสดใสลงไป ก่อนที่ประกายนั้นจะกลับขึ้นมาใหม่พร้อมน้ำเสียงที่อ้อนวอนกึ่งรบเร้า “ถ้าอย่างนั้นหนูชิมก่อนได้ไหม ถ้าไม่อร่อยแล้วหนูจะซื้ออย่างอื่น หนูเอาอย่างอื่นกลับบ้านก็ได้แต่ต้องลองชิ้นนี้ก่อนนะ พี่ชายให้หนูชิมนะ” เพียงประโยคแรกเขาก็สิโรราบให้กับเธอแล้ว ใครจะยอมใจแข็งอยู่ได้เมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ ที่อ่อนหวานเช่นนี้ เขาตัดแบ่งช็อกโกแลตในถาดที่ยังไม่ได้ห่อให้เธอลองชิมก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะได้เห็นหน้ายู่ๆ ของเธอหลังจากได้ลิ้มรสขมเข้าไป
“อร่อยจัง...” ชายหนุ่มประหลาดใจที่เธอชอบรสชาติช็อกโกแลตแบบผู้ใหญ่นี้
เด็กมักจะชอบขนมหวานนี่นา หรือว่าเด็กคนนี้จะแกล้งบอกเพราะกลัวเสียฟอร์มกันแน่
เธอเงยหน้าขึ้นมามองเข้าด้วยความสงสัย “ไม่เห็นขมเลยนี่คะ ทำไมพี่ชายบอกว่าขม” ชายหนุ่มยิ่งสงสัย เขาตัดชิมคำหนึ่ง รสชาติหวานกลมกล่อมดั่งช็อกโกแลตร้อนที่เขาเคยดื่มกระจายทั่วลิ้น

..................

เขาเดินออกมาหน้าร้านส่งลูกค้าตัวน้อย เด็กผู้หญิงถือช็อกโกแลตในมือกึ่งเดินกึ่งกระโดดกลับบ้าน เธอหันมาโบกมือให้เขาก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป มันช่างดูเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของนักผจญภัยตัวน้อยจริงๆ
เจ้าของรอยยิ้มหวานจากไปแล้วแต่ในใจเขายังคงมีรสชาติความหอมหวานกรุ่นอยู่ไม่คลาย

..................

หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยทำช็อกโกแลตขมนั้นได้เป็นรสชาติเดิมไม่แปรเปลี่ยน แต่ทำไมวันนี้รสชาตินั้นถึงจางหายไป
มันกลายเป็นรสชาติใหม่ที่เขาเองอดรู้สึกชื่นชมมันไม่ได้
หรือเพราะเมื่อคืนในความฝัน เขามีเด็กผู้หญิงคนนี้อมยิ้มอยู่เคียงข้าง
เธอปลุกให้เขาสามารถลิ้มรสชาติแสนหวานของชีวิตได้บ้าง แม้ที่ผ่านมาความฝันของเขาจะปะปนไปด้วยความขมไม่จาง

ความหวานของรอยยิ้มและลักยิ้มบนใบหน้านั้นเพิ่มรสชาติในความทรงจำของเขาขึ้นอีกรสชาติหนึ่ง ซึ่งเมื่อเธอเดินผ่านบ้านใครต่อใคร เธอคงสร้างรสชาติใหม่ให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้เช่นกัน


.....................

โจทย์ของงานชิ้นนี้คือ ช็อกโกแลต ค่ะ พลางคิดถึงตัวเองที่ชอบกินช็อกโกแลตและบรรยายออกมาอย่างนี้
ถ้าใครมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับช็อกโกแลตลองมาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ

Saturday, December 29, 2007

บ่าของอัศวิน

2 แขนเธอโอบรอบคอฉันไว้แน่น
น้ำตาค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย เสียงสะอื้นเหลือเพียงลมหายใจกระตุกเงียบๆ

เมื่อทุกสิ่งสงบลง คางของเธอจึงเกยอยู่บนบ่าของฉันอย่างผ่อนคลาย
ไม่มีแล้วความดิ้นรนไขว่คว้าหาผู้พิทักษ์หลังความเจ็บปวด
บัดนี้เจ้าหญิงปลอดภัยแล้ว
...

จริง ฉันคือผู้อัศวินของเธอ ไม่สามารถเป็นได้มากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้
บางครั้งหากต้องการปกป้องความฝัน ความหวัง ความสนุกสดใส
ฉันจะมอบบ่าคู่นี้ไว้ให้คางเธอเข้ามาเกยกอง

บางครั้งหากต้องการแสดงความยินดี เธอยังคงโผมุ่งตรงมายังบ่าของฉันด้วยรอยยิ้ม
...

เป็นระยะเวลานานกว่าเธอจะวางใจนำคางของเธอมาเกยอยู่บนบ่าของฉัน
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอมอบหัวใจให้คนไม่ยิ่งใหญ่เช่นฉันอาจเป็นเพียงแค่ความพร้อมเท่านั้น

ความพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์
ความใกล้ชิดของหัวใจกระเถิบเข้ามาเมื่อวันที่เธอถูกทำร้าย
แน่นอนว่าครั้งแรกที่คางมาเกยไหล่ไม่ได้สร้างภาพจำที่น่าประทับใจให้เราทั้ง 2 ฝ่าย
เพราะเรื่องราวของเราเริ่มขึ้นจากความเจ็บปวด
แต่หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดนั่น ฉันไม่แน่ใจว่าเมื่อใดฉันจะสามารถสร้างความอุ่นใจให้เธอได้
...

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่นานวัน
ฉันพร้อมเสมอที่จะเป็นอัศวินมอบไหล่ให้เธอนำคางมาเกย

Sunday, December 09, 2007

Hero

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว

เราคงไม่ต้องแนะนำต้นข้าวให้ทุกคนรู้จักอีกต่อไป

...

นอกจากจะพูดไม่หยุด

ยังมีเพลงที่โรงเรียนอาจจะสอนมาให้ฟังอีกด้วย

...

ไม่อยากอธิบาย

อยากให้ชมกันเอาเอง

...

Saturday, December 08, 2007

หลานชาย

ไม่มีอะไรนอกจากอยากอวดหลานให้ได้ดูกัน

ต้นข้าวเป็นเด็กชายอายุ 3 ขวบ กำลังจะ 4 ขวบ

หลานคนนี้มีลีลามากเป็นพิเศษ

เนื่องจากเราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักจึงต้องใช้เวลานานกว่าจะคุ้นเคยกัน

ถึงจะใช้เวลานาน แต่ผลออกมาคุ้มค่ากว่าที่คาดคิด

เพราะข้าวเริ่มร้องเพลงให้ฟัง

เต้นให้ดู

และพูดไม่หยุด

ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครหยุดข้าวได้

แต่ทุกคนมีความสนุกสนานกันอย่างเต็มที่

เลยได้ถ่ายมาโชว์ให้ดูอย่างนี้

หลานดีมีไว้อวดจริงไหม

...

แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอวดแล้วพ่อกับแม่เขาจะโอเคไหม

...

Friday, December 07, 2007

ยิ่งแข่งยิ่งแพ้


เหมือนเด็กๆ ไม่มีขีดจำกัดของพลัง

เอามาใช้เท่าไรไม่เห็นหมด

ทั้งร้อง เต้น กระโดด วิ่ง ล้มลุกคลุกคลาน
หลายต่อหลายตลบ
ยังวิ่งในสนามเด็กเล่นได้ต่อ
ส่วนเรารึ
แค่จับเด็กแต่ละคนไม่ให้ทะเลาะกัน กัดกัน ตีกัน
ขาแทบพันกันเป็นปม
วันนี้เลยหมดแรงเอาดื้อๆ
ถ้ามีคนหาคู่ต่อสู้มาให้เลือกสักคน
แล้วหนึ่งในนั้นเป็นเด็ก 3-4 ขวบละก็
ต้องขอบายทันที
อย่านี้เรียกว่ายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่ง
ใครจะไปกล้วแหยม
ยิ่งแข่งยิ่งแพ้นี่นา

Monday, December 03, 2007

เขย่ง ก้าว กระโดด



จำความรู้สึกแรกที่หัดเขย่งไม่ได้แล้ว
รู้แต่ว่าเวลาที่เราเขย่งจะรู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้น ตอนเด็กๆ เลยชอบเดินเขย่งปลายเท้าเป็นพิเศษ
(เพื่อนๆ คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร)
แต่จนบัดนี้นิสัยชอบเขย่งค่อยๆ หายไปแล้ว
มีบ้างเป็นบางครั้งที่ต้องเขย่งหยิบของ
คิดๆ ไปก็บ่อยทีเดียว
เพราะของที่อยู่สูง เราจะไปเอื้อมถึงได้ยังไง

เวลาที่เดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองครั้งแรกเป็นยังไง จำไม่ได้แล้ว
แต่รู้ว่าก้าวแรกของเด็กแต่ละคนสำคัญมาก
การก้าวแล้วล้ม หากลุกได้ด้วยตัวเองจะทำให้เข้มแข็ง
(ตอนนั้นเราทำอีท่าไหนหว่า)
ตอนนี้ได้แต่เดินก้าวไวๆ ไล่จับเด็กๆ ให้ทันก็เหนื่อยแล้ว
ให้นึกย้อนไปตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก
คิดว่าคงก้าวไวน่าดูเหมือนกัน

กระโดดครั้งแรกๆ คงรู้สึกสนุกไม่น้อย
แต่แน่นอนว่าจำอะไรไม่ได้แล้ว
ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าที่เด็กอายุน้อยกว่า 4 ขวบ ความจำจะสั้น
มักจะจำเรื่องราวอะไรช่วงนั้นไม่ได้ตอนที่เราโตแล้ว
อาจจะจริงอย่างว่า เพราะตอนนี้เห็นเด็กๆ กระโดดกันอย่างสนุกสนาน แต่เรากลับจำความรู้สึกนี้ไม่ได้เลย
ตอนนี้ที่กระโดดได้อย่างไม่เคอะเขินเพราะต้องกระโดดไปพร้อมพวกเขา
หากเป็นช่วงเวลาปกติคงกระโดดสนุกสนานออกนอกหน้าไม่ได้อย่างนี้
เดี๋ยวคนหาว่าบ้า

ความสนุกของการเขย่ง ก้าว กระโดด
จำกัดไว้ถึงอายุเท่าไรกัน
...
ใครตอบได้ช่วยบอกที

Sunday, November 04, 2007

แผนที่อยากวาง

เคยตั้งใจว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดบ้างไหม

เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำให้ได้ภายใน 1 ปีเลย
จนกระทั่งพี่เชน ช่างภาพที่ทำงานเก่าเคยบอกให้ฟังถึงแผนประจำปีของพี่เขา
และบอกว่าเราควรจะมีบ้าง

ตอนนั้นไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากไปกว่า คิดอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน
สำหรับตัวเองจะได้ทำหรือไม่นั้น ไม่เคยคิด

ตอนนี้เลยลองตั้งจุดหมายที่ตัวเอาต้องไปให้ถึงอย่างหนึ่ง

แต่ไม่บอกหรอกว่าคืออะไร เดี๋ยวจะไม่สนุก

เหอะๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าเป็นความลับหรือเปล่า
เพียงแต่อาจจะเขินๆ ถ้าเล่าให้คนอื่นฟัง

เอาเป็นว่าถ้าสำเร็จเมื่อไรอาจจะเอามาเล่าสู่กันฟัง

ถ้าใครที่ยังไม่เคยมีแผนการณ์ใน 1 ปี ต้องลองดูบ้างนะคะ
มันจะมีพลังให้เราทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ
ซึ่งมันเป็นพลังที่ดีนะคะ

หากเราต้องการหาแรงผลักดันอะไรสักอย่าง
เราควรจะตั้งเป้าหมายเพื่อให้ไปถึงจุดหมายนั้น
ส่วนระหว่างทางก่อนที่เราจะไปถึงนั้น
จะกลายเป็นความทรงจำที่ดีอย่างแน่นอน

Saturday, November 03, 2007

ท่องเที่ยว


ไม่ได้ออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวมานาน
ยิ่งเที่ยวกับเพื่อนสมัยเรียนแล้วยิ่งห่างหายค่ะ

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องรอให้ว่างพร้อมๆ กัน
เที่ยวด้วยกันจะได้สนุกสนาน
สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน

เที่ยวนี้ไปจันทบุรีค่ะ ไม่เคยไปจันทบุรีมาก่อน
เท่าที่ไปไกลแค่ระยอง
ขึ้นเหนือตอนเด็กจำความไม่ได้ ตอนโตก็ไม่ถึงไหน
ลงใต้แค่หัวหิน

ที่ผ่านมาจึงโหยหาการเที่ยวอย่างมาก
ความจริงแล้วไม่ได้อยากเที่ยวเล่นสนุกสนานหรอกค่ะ
อยากได้บรรยากาศสดชื่น
อยากได้ยินเสียงธรรมชาติ

ตอนไปถึงไม่ทำอะไรทั้งนั้น
นอนฟังเสียงคลื่นอย่างเดียวก็ยิ้มแล้ว

นึกถึงสมัยเรียนค่ะ
ไม่ต้องไปเที่ยวไหน
แค่ได้ไปนั่งอยู่หลังโรงละคร นอนตรงลาน มองแสงลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้
แค่นี้ก็ยิ้มแล้ว
เวลาใครจัดทริปไปต่างจังหวัดไม่ได้อยากไปกับเขา
ไม่ชอบที่คนเยอะๆ

ช่วงปิดเทอมที่คนกลับบ้านแล้วเราต้องอยู่เรียนต่อ
เป็นช่วงที่มีความสุขมาก
เพราะจะไม่มีเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งเลย
ได้เห็นนก เห็นกระรอก
ถ้าหน้าหนาวจะมีนกฮูกโผล่มาให้ตกใจด้วย

ยิ่งช่วงปีใหม่ที่คนกลับบ้านกันเยอะๆ แล้วเราอยู่ทำละครกัน
สนุกมาก
ไปซื้อเนื้อหมูที่ตลาดมาย่างกินกันหลังโรงละคร
เหมือนได้พักตากอากาศ ย่างบาร์บีคิวกัน

มันเป็นช่วงที่เราเดินทางในใจ
หลายสิ่งทางความรู้สึกเกิดขึ้นมากมาย

พอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ความรู้สึกอย่างนี้มันหาได้ยากค่ะ
วันๆ ต้องเจอผู้คนมากมาย
แค่ได้เห็นคนก็เหนื่อยแล้ว
อย่างนี้เราถึงพยายามหาทางออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนที่อื่น

กลับมาคราวนี้ได้แรงกลับมาเยอะด้วย
พร้อมที่จะเจอกับเด็กๆ ตอนเปิดเทอม

รอช่วงปีใหม่ที่หยุดยาว อาจจะได้ท่องเที่ยวอีกครั้ง

คราวนี้จะท่องเที่ยวที่จังหวัดอื่น หรือท่องเที่ยวในใจ
ต้องรอดู

Tuesday, October 02, 2007

กระต่ายบิน

กระโดดด้วยขาทั้ง 2 ข้าง
เคลื่อนไปข้างหน้าทีละนิด
ทีละหน่อย

แหวนมองท้องฟ้ากว้างไกล
แม้กระโดดเท่าไร
ไม่เคยถึง

กระโดดไปเรื่อยๆ
ขึ้นไปยังภูเขาสูง

มุ่งตรงไปสู่ก้อนเมฆขาวปุย

กระโดดไปยังยอดเขา
กระโดดสูงเท่าไร
ไม่สามารถเอื้อมถึงปุยเมฆ

หูกระต่ายสัมผัสลมบนยอดเขา
หัวใจปลิวไปไกล
ปีกนกงอกขึ้นมาใหม่
บนหลังกระต่ายใจลอย

พาร่างโบยบินไปสูงสุดฟ้า
เปิดตาสัมผัสพื้นเบื้องล่าง
เปิดใจสัมผัสอากาศเบาบางเบื้องบน

Friday, September 28, 2007

จักรยานสีขาว


ตั้งใจว่าอยากได้จักรยานมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ออกไปหาซื้อเสียที


จนเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งซื้อจักรยานใหม่ค่ะ
เป็นจักรยานญี่ปุ่นสีขาว

ขี่ไปทำงานทุกเช้า
ตอนเย็นได้ลองไปขี่เล่นรอบทะเลสาบมาแล้ว

เมื่อก่อนตอนอยู่มหาวิทยาลัยเคยขี่จักรยานเหมือนกัน
แต่ได้ใช้ช่วงสั้นๆ ตอนปี 1
แถมยังเป็นจักรยานของเพื่อนอีกต่างหาก

จำได้ว่าตอนที่ขี่จักรยานซ้อนกันไปกินข้าว ไปเรียน เที่ยวเล่น สนุกสนานดี
ขี่จักรยานไปเป็นแถวกับเพื่อน 3-4 คัน
ถ้าเอามาถ่ายมิวสิกคงเป็นภาพประกอบเพลงสำหรับเพื่อนแบบตลกๆ เพลงหนึ่ง

พอมาถึงตอนนี้ไม่ได้ขี่กับเพื่อนๆ แต่ขี่คนเดียว
ความรู้สึกต่างจากตอนที่ขี่เล่นในมหาวิทยาลัยมาก
เพราะตอนนี้ใช้ในการเดินทางไปทำงาน

ขาไปมุ่งหน้าให้ถึงโรงเรียนตรงเวลา
ขากลับต้องจอดให้เด็กๆ สั่นกระดิ่งก่อนออกจากโรงเรียน

เป็นอย่างนี้ทุกวัน

เพียงแต่สิ่งที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเป็นลายที่เพ้นท์จักรยานทีละลาย
ค่อยๆ คิด
ค่อยๆ หาแบบ
ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ
จนกว่าจักรยานสีขาวคันนี้จะกลายเป็นจักรยานสีขาวลายสดใสคันหนึ่ง
ที่ปั่นไปเรื่อยๆ ด้วยแรงของเราเอง

Saturday, July 28, 2007

รอยยิ้ม


เวลาที่ห่างไกลกับเด็กๆ ที่รัก

เราคิดคำนึงถึงสิ่งใดในตัวเขา


ความดีที่อยู่ภายใน

ความชื่นใจที่เขาเคยมอบให้

ขนมที่เขาชอบ

คำพูดที่ติดปาก


หรือ

คิดถึงเพียงรอยยิ้มที่ประทับอยู่บนใบหน้าของเขาเหล่านั้น


สำหรับฉัน


แม้ไม่ได้เจอเด็กๆ แค่ไม่กี่อาทิตย์

ก็คิดถึงพวกเขาจับใจ


ระลึกถึงทุกสิ่งที่พอนึกได้

นึกว่าป่านนี้จะสูงขึ้นแค่ไหนแล้ว

อยู่ที่บ้านจะคิดถึงเราบ้างไหมหนอ


นึกถึงสิ่งที่ตอบได้ยากทั้งนั้น


แต่พอได้แวะไปเจอที่โรงเรียน

พวกเขาตะโกนเรียกตามประสาคนรู้จักกัน

วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง


เราถามว่า "วันนี้เป็นเด็กดีไหม"


แน่นอนต้องตอบว่า "ครับ" กันเป็นแถว


ส่วนเรื่องจริง

....

จะให้เป็นเด็กดีทั้งวันคงเป็นไปไม่ได้


ตอนนั้นเลยรู้สึกได้จริงๆ ว่าเขาเองก็ดีใจที่ได้เจอเรา

รู้ได้จากน้ำเสียง


จากรอยยิ้ม
ยิ้มกว้าง

จริงใจ

และ

ใสซื่อ


ดีใจจริงๆ ที่ได้รับรอยยิ้มเหล่านั้นมาไว้ในความทรงจำ

ประสานเสียง



ตอนนี้มีเวลาดูการ์ตูนมากขึ้น


จะว่าไปเรามักมีเวลาให้กับการอ่านการ์ตูนอย่างสม่ำเสมอ


เพียงแต่ตอนนี้กำลังคลั่งไคล้ เคโรโระ ขบวนการ อ๊บ อ๊บ ป่วนโลก อย่างมาก

ไม่เท่านั้น ยังชวนพี่ชายมาบ้าด้วยกันอีกต่างหาก


ไม่แค่ตัวการ์ตูนที่น่ารักน่าชังเท่านั้น


เนื้อเรื่องยังสนุกตรงใจอีกต่างหาก
มุขแต่ละมุขเพี้ยนเข้ากับคนอย่างเราๆ จนนึกไม่ถึงว่าจะมีการ์ตูนตลกได้ใจอย่างนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นเสาร์อาทิตย์เลยต้องตื่นก่อน 9 โมงเช้ามาดูช่องทีไอทีวี
เหมือนเด็กๆ นั่งรอดูการ์ตูนเลย
ตอนนี้พี่บอลสั่งซื้อดีวีดีมาแล้ว
อีกไม่นานคงได้ดูเต็มอิ่ม ต่อเนื่อง
ก็ตอนเช้ามันมีแค่ 30 นาทีนี่นา
ยังไม่ทันหายอยากก็จบไป 2 ตอนแล้ว
ถ้าใครที่ชอบเคโรโระเหมือนกันก็เชิญมาประสานเสียงกันหน่อยนะ
เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร เคโร
.........

Monday, July 16, 2007

กลางวัน กลางคืน

กลางวัน กลางคืน
ต่างกันแค่คำเรียก

หรือต่างกันที่ความสว่าง ความมืด

ต่างกันที่กลางวันมีตะวันฉาย
กลางคืนมีดวงจันทร์ทอประกาย
...

ต่างกันเพราะความรู้สึก

กลางวันแกร่งกล้า แผดเผา
กลางคืนเยือกเย็น อ้างว้าง

หรือ

ตะวันมอบชีวิต
ดวงจันทร์มอบจิตวิญญาณ

สุดท้าย


ความต่างอาจคือสมดุล

ที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์
ทั้งมืด
ทั้งสว่าง
ทั้งอบอุ่น
ทั้งอ้างว้าง
ทั้งชีวิต
ทั้งจิตวิญญาณ
ทั้งพบพาน
และลาจาก
ถูกนำพามาด้วยกลางวัน กลางคืน

Thursday, July 12, 2007

ย่างก้าวที่ไร้ตัวตน

เงยหน้ามองทางเดินที่ทอดยาว
2 เท้าก้าวไปข้างหน้าพร้อมจุดมุ่งหมายในอนาคต
หากเมื่อไรลืมเลือน 2 ข้างทาง
ไม่แวะพักตามร่มไม้
ไม่ได้สูดดมกลิ่นดิน กลิ่นหญ้า
ไม่หยุดทักทายผู้คนที่เดินผ่าน
หากขาดเรื่องราวตามรายทาง
การก้าวเดินครั้งนี้คงไม่มีความหมาย
2 ข้างทางที่เดินผ่านมีเรื่องราวของสิ่งที่ฝังรากอยู่ที่นั่น
ผู้คนที่อยู่อาศัย
ตึกที่หยั่งเสาเข็มลึกลงไปในพื้นดิน
สถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเคารพ ชื่นชม บุคคล บรรจุเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ยุคสมัยต่างถูกบันทึกไว้ ณ จุดที่ก้าวผ่าน
ต้นไม้
ใบหญ้า
ท้องฟ้า
ภูเขา
ต้นไม้
สิ่งมีชีวิตที่สถิตย์อยู่
หายใจไปพร้อมๆ กับเรา
ครอบครัว
เพื่อนฝูง
คนรัก
ชีวิตของพวกเขาต่างมีจุดหมาย
ไม่ว่าเหมือนหรือต่างไป
เราต่างหายใจไปพร้อมๆ กัน
ทุกๆ ย่างก้าวบันทึกช่วงเวลาของชีวิตที่ใช้ลมหายใจร่วมกัน
วันที่ลมหายใจหมดลง อาจเป็นวันสิ้นสุดของการเดินทาง
ไร้ก้าวต่อไปของใครคนหนึ่ง
แต่อีกหลายสิ่งยังคงก้าวต่อไป
มีลมหายใจต่อไป
ดั่งเราไร้ตัวตน
แล้วความหมายของการเดินทางเล่า
การก้าวเดินต่อไปมีประโยชน์อันใด
สิ่งที่เคยบันทึกอยู่ในความทรงจำไร้ค่าหรือ
...
ความสุข
ความเศร้า
ความรัก
...
หรือความรู้สึกเหล่านี้ไร้ตัวตนเช่นเรา
....
คำตอบนั้นกระจ่างอยู่ในใจเราเอง

Monday, July 09, 2007

ฟากฟ้า



เมฆฝนลอยหายไปเบื้องหน้าแล้ว

เหลือเพียงเรายืนเท้าเปลือยเปล่าบนหาดทรายกว้าง



ฟ้าแม้ยังดูหนักหน่วงด้วยปุยเมฆ

แต่ยังมีลำแสงส่องผ่านให้เบาใจ


จริงอยู่แสงแดดคล้อยผ่านตามกาลเวลา


ไร้เรี่ยวแรงแผดเผาสิ่งใด

แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แสงแดดมอบให้

พลังใจที่อบอุ่นอ่อนหวาน ช่วยปลอบโยนกายที่เหนื่อยล้า


หากวันใดที่ฟ้าเปิด
สว่างสดใส
ปล่อยโอกาสให้แดดได้ส่องโดยสายตาไม่อาจสู้
เราจึงได้แต่ยอมแพ้
หาร่มเงาเพื่อหลีกทางให้แสงส่องแต่โดยสะดวก

หลังจากนี้เราคงคอยมองหาดวงดาวที่เข้ามาส่องประกายให้ฟากฟ้า
รอคอยรอยยิ้มในหัวใจของคนที่อาจเฝ้ามองดาวดวงเดียวกันกับเรา
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน
เราอาจอยากอยู่จนถึงรุ่งสาง
หาที่กำบังจากน้ำค้าง
หวังจะพบแสงแรกของวันบ้าง
ฟากฟ้าแบบไหนจึงเป็นที่ปรารถนา
อาจจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของหัวใจ
ที่จะกำหนดทิศทางของความรู้สึก
กำหนดภาพฉากที่ต้องการพบเจอ

สิ่งที่ทำได้

อาจเพียงต้องหลบหลีกจากความเคยชินเท่านั้น

จึงจะได้เห็นฟากฟ้าอย่างที่มันเป็น

Monday, July 02, 2007

No more monkey jumping on the bed

เพลงที่ใช้สอนเด็กอนุบาลจะเป็นเพลงน่ารักๆ ท่าเต้นน่ารักตามเนื้อเพลงเยอะ แต่ช่วงนี้เพลงที่มาแรงเป็นอันดับหนึ่งคือ No more monkey jumping on the bed
มีเนื้อร้องว่า 5 little monkeys jumping on the bed. 1 fell down and bumped his head. Mama called the doctor and the doctor said, “No more monkeys jumping on the bed.”

ระหว่างที่ร้องจะมีท่าประกอบไปด้วย ทุกคนชอบมากที่ในเนื้อเพลงมีการกระโดด พอถึงท่อนที่หมอบอกว่าห้ามลิงตัวไหนกระโดดบนเตียงอีกจะมีการเปลี่ยนเสียง เด็กทุกคนจะเปลี่ยนเสียงตามไปด้วย

ระหว่างที่ร้องจะวาดรูปให้ดูว่ามีลิงอยู่บนเตียง ค่อยๆ ตกเตียงไปทีละตัว ให้เขาหัดนับเลขพร้อมรู้ความหมายของเพลงไปด้วย ทำให้ไม่ว่าจะร้องเพลงนี้กี่ครั้งทุกคนจะให้วาดรูปไปด้วยตลอด
ช่วงหลังเริ่มคิดเปลี่ยนเนื้อเพลงให้เข้ากับพฤติกรรมของเด็กในห้องด้วย เพราะในห้องไม่มีเตียงให้ห้ามกระโดด แต่เด็กจะชอบยืนบนเก้าอี้หรือบนโต๊ะแล้วกระโดดลงมา เนื้อร้องจึงเปลี่ยนเป็น 5 little students jumping on the chair. 1 fell down and bumped his head. Ms.Tamera called the doctor and the doctor said, “No more students jumping on the chair.”

ไม่เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อร้องเท่านั้น เวลาวาดรูปยังมีเก้าอี้ 5 ตัว กับเด็ก 5 คนยืนอยู่บนเก้าอี้อีกด้วย รอบแรกถามก่อนว่าใครอยากกระโดดบนเก้าอี้บ้าง เด็กๆ ยกมือกันพรึบ มาร์คๆ เก๋าๆ ดีดี้ พิริยา ปอมด้วยนะ เอมด้วย อยากอยู่บนเก้าอี้กันใหญ่ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไง พอเริ่มร้องเพลงแล้วลบคนที่ตกเก้าอี้หัวโหม่งลงมาอยู่บนพื้นเด็กผู้หญิงเริ่มไม่สนุกแล้ว มาร์คกับเก๋ายังยืนงงๆ ที่ตัวเองลงไปอยู่ที่พื้นซะอย่างนั้น ร้องเพลงยังไม่ทันครบ 5 รอบ เด็กผู้หญิงก็บอกว่าไม่เอา อยากให้หนูตกลงมานะ หยุดได้แล้วไม่เอาแล้ว โวยวายจะไม่กระโดดลงมาหัวลงพื้นอย่างคนแรกๆ

ได้ผล หลังจากนั้นเด็กๆ ไม่ยืนบนเก้าอี้อีกเลย หรือถ้าหากมีใครเผลอยืนบนเก้าอี้เราแค่ร้องเพลงท่อนสุดท้ายว่า “No more students standing on the chair.” เท่านี้เขาก็จะลงมานั่งดีๆ ได้เอง ไม่ต้องคอยดุคอยว่าให้เหนื่อย

Monday, December 18, 2006

เด็ก

เมื่อไรที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เราจะไม่มีวันกลับไปเข้าใจเด็กอีกเลย!!!

คิดอย่างไรกับประโยคข้างบนนี้บ้าง
เราเห็นด้วยนิดหน่อย
และไม่เห็นด้วยอีกนิดหน่อย

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าตอนนี้เข้าไปทำงานกับเด็กๆ มากมาย
ถึงจะแค่ 10 คนเท่านั้น
แต่เมื่อทุกคนมาอยู่รวมกันและเล่นพร้อมๆ กันนั่นเรียกได้ว่าเป็นพลังงานที่มากมายหลั่งไหลเข้ามาปะทะกับเรา

ทั้งๆ ที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและตัวใหญ่กว่าตั้งเยอะ กลับสู้แรงพลังของเด็กๆ ไม่ได้เลย

ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขามีพลังชีวิตที่ต้องการการเรียนรู้มากกว่า
สนุกสนานง่ายกว่า
เสียใจง่ายกว่า
รักมากกว่า
จริงใจกว่า
สับสนกว่า
เข้าใจอะไรยากกว่า
เข้าใจอะไรง่ายกว่าในบางเรื่อง

และอีกมากมายที่มีมากกว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆ

ตอนนี้มีอีกหลายเรื่องที่พยายามทำความเข้าใจและต้องอดทนเรียนรู้พวกเขาทีละนิด

ไม่ใช่ไม่เข้าใจเอาเสียเลย
เพราะแม้เราห่างจากเวลานั้นมาแล้ว แต่เราต้องสวมเอาความคิดของพวกเขาไว้ในตัวเพื่อช่วยให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีบ้าง
...